“เรืองไกร” ย้อนศร เอาคำวินิจฉัยศาล รธน.ตัดสินบิ๊กตู่-หัวหน้าคสช.ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ขอข้อมูลการเบิกจ่ายเบี้ยประชุม “แม่น้ำ 5 สาย” ยันต้องเสียภาษีตามกฎหมายประมวลรัษฎากร
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2563 เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึงอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญฯ ลงวันที 2 ธ.ค. เรื่อง ขอข้อมูลการจ่ายเบี้ยประชุมกรรมาธิการหรือกรรมการ ข้อมูลการจ่ายเบี้ยประชุมกรรมาธิการหรืออนุกรรมการของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญย้อนหลัง 5 ปี เพื่อให้การจัดเก็บรายได้แผ่นดินตามที่ประมาณการไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2563 มีความถูกต้องครบถ้วน และป้องกันไม่ให้มีผู้ใดหลบเลี่ยงการเสียภาษีให้รัฐ ทั้งนี้ตามที่รัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 มาตรา 50 (9) บัญญัติว่าบุคคลมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ
นายเรืองไกร กล่าวว่า การทำหนังสือดังกล่าวเพื่อให้มีการเรียกข้อมูลดังกล่าว เนื่องจากประมวลรัษฎากรมาตรา 42 (7) กำหนดเงินได้พึงประเมินประเภทเบี้ยประชุมกรรมาธิการหรือกรรมการหรือค่าสอน ค่าสอบที่ทางราชการหรือสถานศึกษาของทางราชการจ่ายให้ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ โดยเมื่อพิจารณาตามมาตรา 42 (7) แล้วจะเห็นได้ว่า กฎหมายไม่ได้ยกเว้นเบี้ยประชุมอนุกรรมาธิการหรืออนุกรรมการไว้ด้วย ซึ่งกรมสรรพากรเคยตอบข้อหารือมาไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว และกรมสรรพากรได้มีแนววินิจฉัยไว้ว่า “ทางราชการ” หมายถึง หน่วยงานของกระทรวง ทบวง กรม เท่านั้น
ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ สนช. มีคณะกรรมาธิการสามัญและคณะกรรมาธิการวิสามัญหลายคณะ แต่ละคณะมีการตั้งคณะอนุกรรมาธิการด้วย จึงมีเหตุต้องขอให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาจัดส่งข้อมูลการจ่ายเบี้ยประชุมให้แก่คณะอนุกรรมาธิการหรือคณะอนุกรรมการต่างๆ ที่ผ่านมาทั้งหมดประมาณ 5 ปีมา ตรวจสอบว่า ได้มีการนำไปรวมคำนวณกับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มที่ได้รับแต่ละปีเพื่อคำนวณภาษี ณ ที่จ่ายไว้แล้วหรือไม่ และผู้มีเงินได้จากค่าเบี้ยประชุมคณะอนุกรรมาธิการหรือคณะอนุกรรมการต่างๆ ทั้งที่เป็นสมาชิกรัฐสภา หรือบุคคลอื่น ได้นำเงินพึงประเมินเหล่านี้ไปรวมเสียภาษีให้รัฐตามรัฐธรรมนูญและประมวลรัษฎากรแล้วหรือไม่ต่อไป
นายเรืองไกร กล่าวย้ำว่า สำหรับกรณีของ คสช. นั้นได้ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 11/2562 ว่า หัวหน้า คสช. ไม่มีสถานะ ตำแหน่งหน้าที่หรือลักษณะงานทำนองเดียวกับพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานราชการ และไม่ใช่เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ซึ่งจากคำวินิจฉัยดังกล่าวจึงทำให้ค่าตอบแทนต่างๆที่ คสช. ได้รับไปตลอดเวลาประมาณ 5 ปี ไม่เข้าลักษณะที่จะได้รับการยกเว้นตามประมวลรัษฎากรมาตรา 42 (7) คสช. จึงต้องนำค่าตอบแทนต่างๆรวมทั้งเบี้ยประชุมที่ได้มาเสียภาษีด้วย หากไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย อาจถูกลงโทษทางอาญาตามประมวลรัษฎากรมาตรา 37 (2) ประกอบมาตรา 37 ทวิ ตามมาได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) บัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท...(2) โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือขอคืนภาษีอากรตามลักษณะนี้ “ส่วนมาตรา 37 ทวิ บัญญัติว่า “ผู้ใดโดยเจตนาไม่ยื่นรายการที่ต้องยื่นตามลักษณะนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี