“พัฒนาประเทศเริ่มต้นที่พัฒนาคน...พัฒนาคนเริ่มต้นที่การศึกษา”
ประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งมาจากพลเมืองที่มีคุณภาพ โดยสำหรับประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นเจ้าภาพหลักในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามปัจจุบันแวดวงการศึกษาไทยมีปัญหาหลายประการรอให้แก้ไข ซึ่งกองบรรณาธิการ “นสพ.แนวหน้า” ได้สัมภาษณ์พิเศษ รับฟังมุมมองจาก “เสมา 1” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนล่าสุด “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” ว่าจะขับเคลื่อนการศึกษาไทยไปในทิศทางใด
l ภายใต้การบริหารของท่าน ใจท่านอยากให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นอย่างไร? :
ผมอยากให้ กระทรวงศึกษาธิการเป็นแบ๊กโบน (Back Bone) หรือกระดูกสันหลังของการขับเคลื่อนประเทศ มันจำเป็นครับ..ถ้าหากว่ากระทรวงศึกษาฯ อ่อนแอ ไม่สามารถกำหนดทิศทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ หรือว่าทรัพยากรเยาวชนได้ ผมคิดว่าความฝันที่เราวาดหวังไว้ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเศรษฐกิจที่แข็งแรง ประเทศที่มีคนมาลงทุนอยู่มากมาย ประเทศที่มีคนมาท่องเที่ยวอยู่จำนวนมากมันก็จะไม่ยั่งยืน เพราะเราไม่สามารถสนับสนุนด้วยทรัพยากรที่มีทักษะและมีความเข้มแข็ง
ตัวอย่างเช่น เราคิดว่าเราเป็นเมืองท่องเที่ยวที่แข็งแรง แต่เขาสามารถไปได้ทั่วโลกเพราะเดี๋ยวนี้เครื่องบินสามารถไปได้ทุกแห่งหนในเวลาที่ไม่มาก เขาทำการตลาดผ่านอินเตอร์เนตแต่ก่อนคนอาจจะอยากมาเที่ยวเมืองไทยคนพูดถึง ตอนนี้เขาอาจจะบอกว่าถ้าอย่างนั้นเขาไปอารูบาดีกว่า เพราะเห็นรูปแล้วสวยงามมีสถานที่สลับซับซ้อนอะไรต่างๆ การแข่งขันมันเปลี่ยนไปถ้าเราไม่พร้อม ไม่มีคนทำข้อมูลต่างๆ ผ่านขบวนการดิจิทัล เราก็สู้ประเทศอื่นๆ ไม่ได้ ทุกเมืองเขาต้องมีการเตรียมพร้อม เขาไม่ได้เฉพาะเจาะจงสู้กับประเทศไทย แต่ต้องทำให้ตัวเองอยู่ได้ในโลกที่การแข่งขันสูง
l ก่อนเข้ามาบริหารงานในกระทรวงศึกษาธิการ ท่านมองกระทรวงไว้อย่างไรบ้าง? :
ตามที่ผมเคยได้ยินมาว่าใน ศธ. มี....เรียกว่าความเครียดอยู่ในระดับหนึ่ง คนที่จะเข้ามาบริหารมาเจอผู้บริหารกระทรวง มีข้อที่น่ากังวลคือเรื่องของการทุจริตอยู่บ้าง และการขับเคลื่อนที่อาจจะช้าเพราะเทอะทะ นั่นคือสิ่งที่ผมรับทราบมาก่อนที่ผมจะเข้ามา พอมาทำจริงๆ ผมคิดว่าพลังในกระทรวงนี้มีนะ ในการที่จะขับเคลื่อน ความรู้ความสามารถมีสิ่งต่างๆ ที่ทำมาด้วยงบประมาณที่ทำมาหลายๆ ปี มีเพียงแต่ว่าไม่สามารถเอามารวมกันได้เท่านั้นเอง
ผมจึงเอาทีมงานเข้ามาช่วย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องการทำศูนย์ข้อมูล หรือดาต้าเซ็นเตอร์ (DATA CENTER) ทุกส่วนมีเหมือนกันหมด แต่ต่างคนต่างตั้งเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองโดยที่ไม่รวมกันเป็นหนึ่ง ทั้งที่นี่คือหนึ่งกระทรวง นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามทำในส่วนของกระทรวง ให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าอย่างไร เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกันคือกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งก็แปลกที่คนที่นี่กลับคิดว่า ฉันเป็น สพฐ. เป็นอาชีวะฯ เป็น กศน. เป็น สช. แรกๆ ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่พอทำความเข้าใจแล้วทุกคนก็ปรับจูนเข้าตรงกัน
l มองพัฒนาการของระบบการศึกษาไทยอย่างไรบ้าง? :
ผมมองว่าเราเข้าใจว่าเราต้องทำอะไรหลายๆ คน ก็ได้เอาทฤษฎีมาวางแผน มาใช้ มีการแนะนำ มีการเทรน (Train-ฝึกอบรม) อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าไม่ได้มีการเทรนทั่วทั้งประเทศให้มีความเข้าใจไปในแนวทางเดียวกัน “สมมุติว่า เราบอกว่าเพิ่มเวลารู้ ลดเวลาเรียน ให้เด็กออกมาอยู่นอกห้องมากขึ้น ออกมาแล้วทำอะไรก็ยังไม่ชัด” เป็นการที่เราพูดกัน แต่พอถึงเวลาอธิบาย เราไม่ได้อธิบายให้ทุกคนรับฟังไปในแนวทางเดียวกัน
เพราะศธ. เป็นองค์กรใหญ่ ครู 4-5 แสนคน เราจะไปบอกว่าในแต่ละช่วงชั้น เวลาให้เด็กออกมานอกห้องเรียนแล้วจะให้เด็กทำอะไร เราไม่ได้บอก แต่ต่อไปเทคโนโลยีจะบอกให้ได้ หลังจากที่เราวางแผนไว้แล้ว เช่น บอกวิธีให้เด็กออกมาใช้ความรู้ หรือมาแสดงฝีมือนอกห้องเรียนต้องทำอย่างไร ในแต่ละช่วงขั้น ก็จะทำให้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องของการขับเคลื่อน การรับรู้ การสร้างองค์ความรู้ให้เด็กมากขึ้น
l การบริหารในกระทรวงศึกษาฯ ยังมีอะไรติดขัดและต้องปรับเปลี่ยน :
ผมอาจจะมองว่ายังมีคนที่อึดอัดกับแนวทางอยู่บ้าง เพราะผมไม่ได้สนใจ ไม่มีประโยชน์ทับซ้อนอะไรทั้งนั้น ในการตัดสินใจอะไรทุกอย่าง ผมเบสออน (Base On) ข้อมูลที่ผมมี ตอนที่ผมคัดเลือกผู้บริหารที่จะขึ้นมาระดับสูงสุด เทียบเท่าซี 11 ผมไม่ได้ตัดสินใจทันที ทั้งที่เป็นสิทธิของผมที่ตัดสินใจได้ทันที
แต่ผมก็เชิญคนที่สนใจจะได้รับการเลื่อนขั้นและมีความเหมาะสมในเรื่องของอายุงานต่างๆ มาคุยเพื่อฟังวิสัยทัศน์ หลังจากที่ผมฟังแล้วจึงค่อยตัดสินใจ มีหลายคนบอกว่าไม่เหมือนอย่างที่คิด ไม่ได้เตรียมไว้ แปลกใจว่าทำไมเลือกคนนี้ แต่ทุกคนที่ผมเลือกเบสออนความสามารถของเขาที่จะตอบสนองนโยบายที่เราวางเอาไว้และผมก็ไม่สนใจว่าจะเคยขึ้นมาในช่วงเวลาใด ทำงานอยู่กับใคร
l เรื่องของขวัญกำลังใจบุคลากรครูทั้งเรื่องการบรรจุไม่บรรจุและการสรรหา? :
ผมมองว่าคุณครูเขามีความกังวลว่า ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงมาก แนวทางในอนาคต ผลตอบแทน โอกาสที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งให้มากขึ้นจะขาดความชัดเจนหรือไม่ ซึ่งผมยืนยันว่า ต่อให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ผมคำนึงถึงโอกาสและสิทธิความก้าวหน้าของทุกคน ฉะนั้น ผมไม่ตัดสิทธิตรงนั้น รูปแบบการทำงาน ตำแหน่งหน้าที่อาจจะมีเปลี่ยนไปบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าด้อยค่าไปกว่าเดิม หรือรู้สึกว่าจะขาดโอกาสที่จะเจริญเติบโต ไม่มีแน่นอน
เพียงแต่เขายังไม่ทราบว่าแนวทางที่ผมคิดนั้นคืออะไร เพราะผมก็ยังตอบไม่ได้ เพราะผมต้องรอคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปกระทรวงศึกษาธิการเสนอเรื่องมาก่อน และหลังจากนั้นเมื่อเราสุมหัวกันแล้ว ผมมั่นใจว่าเราสามารถรักษาสิทธิของทุกคน รักษาโอกาสของทุกคนได้แน่นอน ตำแหน่ง ชื่อ อาจจะเปลี่ยนไป แนวทางอาจจะเปลี่ยนไป แต่ผมรับรองว่าไม่มีใครที่จะมีความรู้สึกว่าตั้งแต่รัฐมนตรีนี้เข้ามาแล้วเขาเสียสิทธิ เสียโอกาส
l ภายใต้งบประมาณปี 2563 ศธ.จะเดินไปจุดนี้ได้หรือไม่ :
ผมต้องมีการสับเปลี่ยนโยกย้ายอยู่พอสมควร ถึงขนาดต้องบอกว่างดเดินทางไปต่างประเทศ งดอบรมสัมมนา งดจัดอีเว้นท์ที่ใช้เงินแพงๆ เพราะเมื่อลดและงดส่วนนี้ลงแล้ว ก็จะมีเงินมารวมอยู่ในกองหนึ่ง ก็จะนำมาพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาครูเรื่องภาษาต่างประเทศ และพัฒนาสิ่งที่ยังเป็นรูโหว่อยู่ แต่งบประมาณปี 2564 ผมวางไว้ชัดเจนว่า การพัฒนาเรื่องภาษาต่างประเทศ ต้องมี พัฒนาเรื่องดิจิทัล ต้องมีปรับหลักสูตรการสอน ต้องมี ลงทุนอุปกรณ์สำคัญๆ โดยเฉพาะในส่วนของอาชีวะฯ ต้องมี
l เรื่องการยุบหรือควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก เป็นอีกประเด็นที่มีข้อถกเถียงกันมาหลายยุคสมัย ท่านมีความเห็นอย่างไร? :
เรื่องการควบรวมโรงเรียน ผมไม่ได้สนใจว่ามี 5 โรงเรียน 500 โรงเรียน หรือ 5 หมื่นโรงเรียน ตราบใดที่โรงเรียนนั้นมีคุณภาพ สมกับการที่เราควรจะพัฒนาไปสู่ศตวรรษที่ 21 ถ้าโรงเรียนไม่มีคุณภาพเราต้องกระจายงบประมาณเป็นเบี้ยหัวแตก แล้วโรงเรียนจะมีคุณภาพได้อย่างไร และผมก็ยังไม่เห็นเลยว่าถ้าหากมีการควบรวมจริงๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้น วิธีการควบรวมจะเป็นอย่างไร คิดไปเองทั้งนั้น
“แต่ถ้าจะมีการควบรวม ซึ่งขณะนี้ผมก็ยังไม่ได้บอกว่าจะมีการควบรวมนะ ถ้าหากจะมีการควบรวมจริงมีแต่ได้ประโยชน์ทุกคน คนที่อาจจะเสียประโยชน์มากที่สุดคือผู้อำนวยการโรงเรียน แต่เขาก็ยังไม่ทราบว่าผมจะมีแนวทางอย่างไร และผมว่าประมาณ 5,000 โรงเรียน จาก 15,000 แห่ง ที่เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่มีวันจะถูกควบรวม และเมื่อเราเห็นภาพชัดเจนแล้ว ขณะนี้มีจำนวน 3,100 แห่ง ที่เห็นภาพชัดเจนแล้วก็มีแต่จะใส่งบประมาณเพิ่ม ณ ขณะนี้ให้รายหัวเฉลี่ยแล้วหัวละกว่า 40,000 บาท สำหรับโรงเรียนในสังกัด สพฐ.
แต่ถ้าโรงเรียนเล็กที่มีบุคลากรไม่พอ ณ ขณะนี้ได้ค่าใช้จ่ายรายหัว หัวละ 4 หมื่นกว่าบาทผมรับรองเลยว่าตัวเลขนี้จะขยับเป็นหัวละเกือบแสนหรือเกิน 1 แสนบาท เพราะมีความจำเป็นต้องพัฒนาการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็กให้เท่าเทียมกับโรงเรียนอื่น เราทิ้งเขาไม่ได้ และเราจะให้น้อยกว่าคนอื่นก็ไม่แฟร์ ฉะนั้น จะเห็นการปรับงบประมาณเข้าไปสู่โรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่มีโอกาสควบรวม ที่อยู่ตามเกาะแก่ง บนดอย บนดอยสูง หรือตามชายขอบต่างๆ อย่างแน่นอน ความสำคัญของเด็กสำคัญที่สุดและเท่าเทียมกันในเรื่องของการศึกษาขั้น
พื้นฐาน”
การศึกษาพื้นฐานไม่ใช่จัดแบบขอไปที “การศึกษาขั้นพื้นฐานที่ผมมองไว้คือ การศึกษาพื้นฐานที่สามารถทำให้เด็กที่อยู่ไกลได้รับความรู้ใกล้เคียงกับเด็กที่อยู่ในเมือง”เป้าหมายของผมคือ เด็กที่อยู่ต่างจังหวัดไม่ต้องดิ้นรนเข้ามาหาโรงเรียนใหญ่ๆ ในเมือง เขาจะต้องคิดว่าถ้าหากเขาเรียนในพื้นที่เขาที่ไม่ว่าจะเล็กขนาดไหนแต่คุณภาพเขาได้เท่าโรงเรียนในเมือง และอาจจะได้ประโยชน์มากกว่าเพราะโรงเรียนอยู่ใกล้บ้าน เขาไม่ต้องเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ หรือในเมือง นี่คือเป้าหมายของผมที่มองเรื่องโรงเรียนคุณภาพ
ผมมั่นใจว่าถ้าให้ระยะเวลาในการทำตรงนี้และมีการจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม เราทำได้แน่นอน เพราะไม่ใช่ว่าเราทำแค่ใน ศธ. ตอนนี้มีเอกชนพร้อมเข้ามาช่วยจำนวนมาก นานาชาติก็เริ่มมองแล้วว่าประเทศไทยกำลังจะปรับกระทรวงศึกษาฯ ผมไปพูดในหลายๆ เวที พูดถึงแนวทางการรัดเข็มขัดตัวเอง มีแนวทางชัดเจนจากผู้นำของประเทศ มีความกล้าที่จะตัดสินใจในสิ่งที่ล้าสมัย ต้องใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีต่างๆ เขาเชื่อมั่นเลยว่าถ้าหากทำได้จริงไทยจะเป็นประเทศชั้นนำในอาเซียนและเอเชีย ดีไม่ดีเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญของโลกด้วยซ้ำ
l มองคุณภาพของเด็กนักเรียนไทยอย่างไร :
ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจ ผมเคยไปดูในบริบทที่ผมไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ศธ. เข้าไปในโรงเรียนโดยที่ผมไม่ได้บอก “ผมรู้สึกว่าเด็กไทยถ้าให้โอกาสเขา เขากล้าแสดงออก เขามีความคิดความอ่าน แต่เราไปจำกัดกรอบเขาไว้” หลักสูตรนี้ เครื่องมือนี้คุณต้องทำแบบนี้ แต่ไม่ได้ถามเขาต่อว่า แล้วถ้าไม่ทำอย่างนี้ ทำอะไรได้อีก ก็มีที่เปิดโอกาสให้เขาคิดบ้าง แต่ยังไม่ได้เปิดกว้าง
“ผมคิดว่าถ้าให้เขามีโอกาสมาเล่นนอกห้อง ได้มาแสดงความสามารถของเขาอย่างจริงจัง ผมว่าเด็กไทยไปไกลได้มากกว่านี้” และผมรู้สึกเลยว่าเด็กไทยไม่ได้แตกต่างไปกว่าเด็กที่อเมริกา อังกฤษ หรือประเทศที่เจริญแล้ว ผมกลับมานั่งคิดก็จริง จะแตกต่างได้อย่างไรเด็กเราเกิดมามีสิบนิ้วเหมือนกัน มีมันสมองเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับเราใส่อะไรลงไปให้เขาเท่านั้นเอง เรายังไม่ได้ใส่อาวุธให้เขาไปอย่างเต็มที่ และไม่ได้รับอาวุธที่เขามีอยู่ ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำผ่านครู ผ่านหลักสูตรการเรียนการสอน ผ่านการสร้างทักษะต่างๆ
l ทำงานผ่านไป 4 เดือนแล้ว ท่านมีการวางแนวทางการทำงานอย่างไร และทำอะไรไปแล้วบ้าง? :
ผมดูโครงสร้างที่เป็นปัญหาอยู่ก่อนว่า การศึกษาไทยจะขับเคลื่อนได้
1.ครูคือเรื่องที่สำคัญที่สุด ฉะนั้น องค์ประกอบที่เกี่ยวกับครู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลตอบแทน การเข้าสู่ตำแหน่งที่เติบโตขึ้นวิทยฐานะ หนี้สิน การเรียนการสอน การฝึกอบรมโดยเฉพาะการให้ครูมีเวลาอยู่กับเด็ก ซึ่ง 5-6 ปัญหานี้ทำให้ครูไม่สามารถนำพาความเหมาะสมเข้าสู่การเรียนการสอนเด็กได้
2.เรื่องของดิจิทัลและเทคโนโลยี ศธ.จะเป็นกระทรวงที่นำเรื่องนี้ เพราะการศึกษาขับเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา วันนี้ผมยังคิดว่าเราล้าหลังเรื่องดิจิทัล หรือเรื่องเทคโนโลยี แต่ก็ไม่เป็นไรเราต้องใช้เวลาในการทำ
และ 3.เรื่องของงบประมาณ งบประมาณที่มองดูแล้วเหมือนเยอะ แต่เป็นงบประมาณที่เรายังไม่ได้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังมีความทับซ้อนกันอยู่ ยังมีการนำไปใช้ในที่ที่ไม่เหมาะสม และที่สำคัญที่สุด ยังไม่ได้กระจายเข้าไปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของการศึกษาประเทศไทยนี่คือ 3 เรื่องใหญ่ๆ ที่ผมได้มาดู และได้มีการวางแผนแล้ว
อย่างเรื่องหนี้สินของครู ก็มีทีมงานเข้ามาดูว่าเราจะทำอย่างไร เราตั้งธนาคารเพื่อการศึกษาลดตรงนี้ได้ไหม และดูเรื่องหลักสูตร เรื่องเทคโนโลยีก็เตรียมทำแล้วโดยเฉพาะอินเตอร์เนตหากการจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปอย่างถูกต้องตามระเบียบต่างๆ ทุกโรงเรียนประมาณร้อยละ 90-95% ของโรงเรียนในประเทศไทยน่าจะมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เนตได้ในทุกห้องเรียนที่สำคัญๆ เช่น ห้องประชุม ห้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ห้องเรียนภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ ซึ่งที่ผ่านมาโรงเรียนมีอินเตอร์เนตแต่ส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ที่ห้อง ผอ.โรงเรียน ซึ่งเด็กไม่ได้อะไร
l ว่ากันว่า กระทรวงศึกษาธิการ พอเปลี่ยนรัฐมนตรีที นโยบายกระทรวงก็เปลี่ยนที ท่านมองเรื่องนี้อย่างไร? :
ตรงนี้ก็เป็นปัญหา ค่าเฉลี่ยของคนที่มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯก็ประมาณ 11 เดือน ผมใช้ไป 4 เดือนแล้ว เหลืออีก 7 เดือน ตรงนี้ก็เป็นปัญหาหนึ่ง เราวางนโยบายแต่ถ้าไม่ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน แน่นอนทุกคนก็ต้องเปลี่ยน คนที่มาเป็นผู้บริหารก็ต้องเปลี่ยนตามตนเองคิด
“ผมถึงมองว่าถ้าเราทำให้การศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ จะพูดว่าเป็นวาระแห่งชาติหรือไม่พูดก็แล้วแต่ ก็จะทำให้การเปลี่ยนแปลงลงน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น ผมพยายามเชิญฝ่ายค้านมาร่วมแสดงความคิดเห็นว่า ณ ขณะนี้อาจจะปรับโครงสร้างแบบนี้นะ เห็นด้วยหรือไม่ ณ ขณะนี้จะมีการผลักดันเรื่องภาษาอังกฤษแบบนี้ มีการผลักดันเรื่องดิจิทัล จะให้หรือไม่ให้คอมพิวเตอร์แท็บเลต แล็ปท็อป ก็ต้องมานั่งคุยกัน”
เพราะถ้าผมบอกว่าคอนเทนท์เราพร้อมแล้ว เราให้แล็ปท็อปเด็ก เด็กสามารถเอาไปใช้ได้ แต่พอเปลี่ยนรัฐมนตรีอีกชุดหนึ่งก็เปลี่ยนไปใช้แล็ปท็อปอีกแบบหนึ่ง มันก็เดินกันไปไม่ได้ ตราบใดที่เราพูดกันว่าสิ่งที่แล็ปท็อปต้องมีไวเลต ไวไฟ มี 4G เพื่อเด็กจะได้ใช้ และเครื่องต้องมีความแข็งแรง มีราคาที่เหมาะสมย่อมเยา ราคา 6,000 ก็ใช้ได้แล้ว ไม่ใช่พออีกรัฐมนตรีหนึ่งมาบอกว่าจะซื้ออีกลอตหนึ่ง เพราะซื้อได้ในราคาและส่วนแบ่งที่ดีกว่ามากกว่าอะไรก็แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้ตลอด
l มั่นใจมากน้อยเพียงใดว่า ในช่วงที่เป็นรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการจะปรับเปลี่ยนตามที่ตั้งใจและวางแผนการดำเนินงานเอาไว้ :
ถ้าผมมีเวลาผมมั่นใจ แต่เวลาผมไม่ได้บอกเวลาว่าอีก 4 ปี 5 ปี 10 ปี ขอเวลาผมสัก2 ปี ผมคิดว่าในรากฐานของโครงสร้าง การวางรากฐานของการศึกษาไทย แต่ว่าต้องมีการสนับสนุนงบประมาณที่เหมาะสม โดยที่ผมให้ความมั่นใจว่าเงินเหล่านั้นไม่ได้สูญเสียหายไปไหน ผมมั่นใจว่าเราพลิกการศึกษาไทยได้
เวลาเฉลี่ย 11 เดือนไม่พอถามว่า 11 เดือนทำไมถึงไม่พอ ถ้าเขารู้ว่า 11 เดือนจริงๆ ผมว่าผู้บริหารกระทรวง คนที่อยู่ในกระทรวงก็จะไม่กล้าทำ จะไม่กล้าเปลี่ยน จะไม่กล้าผลิต แต่ถ้าเขาดูแล้วมีความมั่นใจว่าอันนี้อาจจะอยู่ได้สักพักหนึ่งผมว่าเขาจะกล้าทำ ผมจึงเร่งทำในหลายๆ เรื่องผมบอกว่าอย่าเสียเวลารอไม่ต้องรอแล้ว ทฤษฎีเรารู้มาหมดแล้วจะทำแบบฟินแลนด์ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เรารู้หมดแล้วเหลือแต่ปฏิบัติว่าเราจะเอาอันไหนมาปฏิบัติเท่านั้นเอง
“แล้วเราก็ไม่สามารถก๊อบปี้ (Copy-เลียนแบบ) ได้หมด เพราะบริบทของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน เราเอาสิ่งดีๆ มา ผสมผสานแล้วเรามาทำ ฉะนั้นผมก็มั่นใจระดับหนึ่ง”!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี