รบ.พร้อมรับมือซักฟอก
เชื่อบิ๊กตู่เอาอยู่
สนธิรัตน์ชี้เสียงแน่นปึ้ก
มีเสถียรภาพสอบผ่าน
พท.เล็งเปิดแผลทุจริต
สารภาพล้มรบ.ไม่ได้
แค่ขอฟ้องประชาชน
“สนธิรัตน์” ยันรัฐบาลพร้อม รับมือ-ชี้แจง ศึกซักฟอกเชื่อ “บิ๊กตู่” ตอบได้เอาอยู่ มั่นใจรัฐบาล มีเสถียรภาพ มั่นคงจะนำพาผ่านพ้นได้ ด้าน “เพื่อไทย”ยันซักฟอก ถึงล้มรัฐบาลไม่ได้ หวังเปิดแผลทุจริตฟ้องประชาชน ขณะที่ซูเปอร์โพล พบลางร้ายรัฐบาลพลังเงียบลดลง ขณะที่ ชาวบ้านสนับสนุนรัฐบาล-ไม่หนุนก่ำกึ่ง แต่แนวรบโซเซียลพ่ายยับ
เมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่ อ.นาเยีย จ.อุบลราชธานี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)พร้อม คณะ เดินทางตรวจเยี่ยมโครงการขับเคลื่อนผลักดันโรงไฟฟ้าชุมชน ที่บริษัท อุบลไบโอเอทานอล จำกัด(มหาชน)
โดยนายสนธิรัตน์ กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านนั้นเป็นกลไกปกติของระบบรัฐสภาที่สามารถทำได้ ซึ่งเราต้องรอดูว่า จะยื่นอภิปรายรัฐมนตรีท่านใดบ้างหรือจะอภิปรายทั้งรัฐบาล ในส่วนของรัฐบาล ก็พร้อมจะชี้แจง ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการทึ่จะดำเนินการตามขั้นตอนรัฐสภา หากมีการยื่นญัตติดังกล่าว
ปัดตั้งองครักษ์เชื่อนายกฯแจงได้
เมื่อถามว่าจะถือว่าเร็วไปหรือไม่เพราะรัฐบาลเพิ่งทำงานได้ 4-5 เดือนเท่านั้น นายสนธิรัตน์ กล่าวว่าอันนี้อยู่ที่มุมมองเพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐ จำเป็นตัองตั้งองครักษ์พิทักษ์นายกฯหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่าเชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจะสามารถตอบชี้แจงในข้อที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายไดั ส่วนกลไกในสภาก็ว่ากันไป คงดำเนินไปตามปกติ
ชี้รบ.มั่นคงมีเสถียรภาพผ่านได้
เมื่อถามว่า มีโหรทำนายว่าการเมืองปีนี้จะต่อสู้กันหนักจนเข้าขั้นวิกฤติ ปัจจัยหลายๆอย่างในปีนี้ จะนำไปสู้ขั้นนั้นหรือไม่ นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า อยู่ที่ความมั่นคงของพรรคร่วมรัฐบาล การที่พรรคร่วมรัฐบาล มีเสถียรภาพมั่นคง ก็จะสามารถนำพารัฐบาลเดินหน้าไปได้ ตนพร้อมรับฟังทุกฝ่ายที่มีความคิดเห็นและหน้าที่ของรัฐบาลคือจะต้องดำเนินการอย่างไรให้เกิดความมั่นคง และสร้างประโยชน์ให้ประชาชนได้ ส่วนเรื่องอื่นๆก็เป็นเรืองปกติของการเมือง
“ผมคิดว่ารัฐบาลที่มั่นคง รัฐบาลที่มีศักยภาพและขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ประชาชนนั้นเป็นเป้าหมายหลักที่รัฐบาลต้องทุ่มเท ยืนยันว่าตอนนี้รัฐบาล ยังมั่นคงดี ไม่มีปัญหาอะไร”นายสนธิรัตน์ ย้ำ
พร้อมชี้แจงปัญหาเศรษฐกิจ
เมื่อถามต่อว่าหากฝ่ายค้านจะหยิบเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลมาอภิปราย นายสนธิรัตน์ ยืนยันว่า ตนพร้อมชี้แจงปัญหาเศรษฐกิจมีหลายปัจจัย ทั้งจากภายนอกคือเรื่องเศรษฐกิจโลก และจากภายในคือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี สิ่งที่เรามุ่งมั่นคือการเร่งรัดนโยบายของรัฐบาล แต่ละกระทรวงเพื่อเร่งแก้ปัญหา แต่ยอมรับว่าการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า มีผลต่อตัวเลขเศรษฐกิจ ทุกอย่างมีขั้นตอนและกระบวนการ สิ่งที่เราต้องเตรียมการคือ เมื่อพ.ร.บ.งบประมาณผ่านรัฐสภา ต้องเร่งรัดการใช้งบประมาณในช่วงเวลาที่เหลือของปี
วิปรบ.นัดถกรับงบ63วาระ2-3
นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล )กล่าวถึงกรอบการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาทในวาระ2และ 3 หลังคณะกมธ.วิสามัญ ที่มีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน กมธ.พิจารณาเสร็จแล้วว่าวิปรัฐบาลจะนัดประชุม เพื่อเตรียมพร้อมในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯเป็นการเฉพาะ ในวันที่ 6 ม.ค.นี้เบื้องต้นได้เตรียมพร้อมในการประชุมสภาผู้แทนฯ ในวาระดังกล่าวไว้ 3 วัน ระหว่างวันที่ 8-10 มกราคม อาจจะเสร็จก่อนโดยใช้เวลาไม่ครบ 3 วันก็ได้ ขึ้นอยู่กับที่ประชุม
‘นายกฯ’เตรียมมาขอบคุณสภาฯ
อีกทั้งวิปทั้ง2ฝ่าย คงไม่ต้องกำหนด หรือจัดสรรเวลาในการอภิปรายเพราะการอภิปรายในวาระ2และ 3 คงเป็นเรื่องของกมธ.ที่สงวนความเห็น และส.ส.ที่สงวนคำแปรญัตติไว้ คงไม่อภิปรายเกินกว่าสาระที่สงวนหรือแปรญัตติไว้และเมื่อที่ประชุมพิจารณาในวาระ2และ3 เสร็จเรียบร้อย ก็คาดว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคงจะมากล่าวขอบคุณสภาฯในช่วงท้ายของการประชุมด้วยตัวเอง
มั่นใจงบ63วงเงิน3.2ล้านๆผ่าน
ด้าน นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกวิปรัฐบาล กล่าวว่า วิปรัฐบาลได้เตรียมพร้อมทุกอย่างสำหรับการประชุมงบประมาณฯไว้เรียบร้อยแล้ว เชื่อว่า การพิจารณาตลอด 3 วันจะผ่านไปด้วยความเรียบร้อย เพราะร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯฉบับนี้ ถือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกัน ด้วยดี และยังเชื่อมั่นว่ากฎหมายฉบับนี้จะผ่านสภาฯไปได้ และส่งไปให้วุฒิสภา พิจารณาเห็นชอบในกรอบเวลา 20วันต่อไปได้ โดยไร้ปัญหาเพื่อนำงบประมาณก้อนนี้ที่ล่าช้าไปจากวงรอบเดิม เร่งไปหมุนเวียนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประชาชน
ปชป.ชงกมธ.ปลดล็อคมาตรา256
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กมธ. วิสามัญศึกษาแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่า เวทีแห่งนี้จะเป็นเวทีที่จะระดมความคิดเห็นมีทั้งพรรคการเมืองมีทั้งภาคประชาชน ที่จะมาศึกษาในรายละเอียดถึงข้อดีข้อเสีย การตั้งต้นจากการรับฟังทุกความเห็นจะเป็นกุญแจสำคัญให้เห็นถึงจุดหมายปลายทางที่ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นไม่ควรตั้งต้นโดยมีอคติ
นายราเมศ กล่าวเพิ่มเติมว่า สมาชิกวุฒิสภาเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่จะเป็นประเด็นปัญหาถกเถียงกัน หากไม่รับฟังกันอย่างจริงใจก็จะเกิดปัญหาได้ และ กมธ. วิสามัญชุดดังกล่าวก็จะไม่สัมฤทธิ์ผล อีกทั้ง มาตรา 256 เป็นหัวใจที่สำคัญจะนำไปสู่ประตูการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การศึกษาเพื่อให้แก้รัฐธรรมนูญโดยใช้เสียงข้างมากในรัฐสภา เชื่อว่า จะส่งผลดีต่อกระบวนการปรับแก้ให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นสมาชิกวุฒิสภาอย่ากลัวที่จะเสียอำนาจ หากการเสียอำนาจนั้นก็เพื่อเป็นการนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ที่มาของ ส.ว. กับอำนาจหน้าที่ ควรมีการศึกษาอย่างเป็นระบบ ขณะนี้เป็นขั้นตอนการตั้งต้นศึกษาจึงไม่ควรเริ่มต้นขัดแย้งเลยขอให้มุ่งไปข้างหน้าก็จะทำให้ได้ประโยชน์มากกว่า
“กรณ์”แจง5ข้อ ย้ำชัดยังอยู่ปชป.
นายกรณ์ จาติกวณิช สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กเพจ Korn Chatikavanij ชี้แจงถึงกระแสข่าวตั้งพรรคการเมืองใหม่ว่า“ช่วงนี้ข่าวเยอะครับขอชี้แจงตามนี้1.ผมยังเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อยู่เหมือนเดิม อาทิตย์ นี้เตรียมโหวตพรบ.งบประมาณ เชิญติดตามการอภิปรายครับ 2.มีคนมาคุยด้วยเรื่องตั้งกลุ่ม ตั้งพรรคจริง ทุกคนล้วน มีความอยากเห็นประเทศเรามีการพัฒนา แต่ ขอกรุณากลับไปดูข้อ 1 อีกครั้ง 3.พลังประชารัฐ ไม่เคยทาบทามผมให้ไปทำอะไร 4.ผมไม่เคยทาบทาม ใครจากอนาคตใหม่ 5.ปชป. ไม่เคยทาบทามผมให้ลง ผู้ว่าฯ กทม.และอย่างเดียวที่ หัวหน้าปชป.เคยทาบทามคือให้เป็น ‘รองประธานคณะกรรมการสรรหาผู้สมัคร’ซึ่งได้ปฏิเสธไปเมื่อหลายเดือนมาแล้ว ในอนาคต หากผมจะตัดสินใจทำอะไร ผมจะชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาในพื้นที่นี้เสมอครับ”
พท.ลั่นซักฟอกหวังเปิดแผลทุจริต
ด้าน นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่าที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมยื่นต่อรัฐสภาเพื่อขอเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นการทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเวลา การที่พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่ารัฐบาลนี้ เพิ่งบริหารประเทศเพียงได้5เดือนเท่านั้น เป็นการพูดเพื่อหาทางออกให้ตัวเอง หวังทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายค้าน พร้อมประกาศชัดว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่เกี่ยวกับรัฐบาลนี้เป็นการพูดเพื่อสร้างความชอบธรรม หวังสร้างเรื่องราวให้กลุ่มกองเชียร์รัฐบาลนำไปขยายความต่อ เป็นอาการร้อนตัวของพลเอกประยุทธ์ ออกอาการดิ้นเพื่อเอาตัวรอด หวังสร้างความสับสนให้ประชาชน
“การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เวลาในการเข้าสู่ตำแหน่งและการบริหารประเทศนานเท่าไหร่ ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะยื่นไม่ไว้วางใจ การอภิปรายจะยื่นหลังจากเข้าบริหารประเทศ 1เดือนหรือ2เดือน ก็ได้หากพบว่ารัฐบาลเข้าสู่ตำแหน่งด้วยความไม่ชอบ และมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริตหรือมีหลักฐานชัดเจนว่า มีการกระทำที่อาจจะส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบ รวมไปถึงไม่มีความรู้ความสามารถ ที่พอเพียงบริหารราชการแผ่นดิน ส่อว่าจะเป็นอันตรายก่อให้เกิดวิกฤติกับประเทศหากให้บริหารประเทศต่อไป ก็สามารถขออภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเวลา ในต่างประเทศเขาเปลี่ยนรัฐบาลทุก 6 เดือนหากเห็นว่าผู้นำไม่มีความสามารถพอ”นพ.ชลน่าน ย้ำ
อ้างข้อมูลในอดีตนำอภิปรายได้
รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวว่าในส่วนของที่พล.อ.ประยุทธ์ออกมาตีกันการนำเรื่องอดีตมาอภิปรายนั้น อาจจะเกิดจากความกังวลใจเกี่ยวกับอดีตของพล.อ.ประยุทธ์เอง เพราะเรื่องในอดีตก็สามารถนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงได้ เพราะรัฐบาลชุดนี้กับรัฐบาลในปัจจุบันเป็นรัฐบาลชุดเดียวกัน รัฐมนตรีก็คนเดิมๆ ดังนั้นผลงาน5ปีที่ผ่านมาก็เห็นชัดว่าประเทศชาติวิกฤติแค่ไหน หากให้อยู่ในตำแหน่งต่อไปก็สุ่มเสี่ยงจะพาประเทศไปสู่จุดวิกฤติหนักกว่านี้ อันนี้เป็นเหตุผลในการย้อนพฤติกรรมในอดีตไม่ว่าจะเป็นการอำนาจมิชอบ การใช้มาตร 44โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาหรือการใช้งบประมาณผ่านองค์การทหารผ่านศึกที่ส่อไปในทางทุจริตก็เป็นส่วนหนึ่งจากการทำงานของรัฐบาล
ล้มรบ.ไม่ได้ ชำแหละฟ้องปชช.
“การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ คงไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ เพราะรัฐบาลใช้วิธีการมัดคอพรรคร่วมไว้รัฐบาล ไม่มีทางที่พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล จะแตกแถวออกมา ดังนั้นเป้าหมายพรรคร่วมฝ่ายค้าน หวังจะเปิดแผลที่เน่าของรัฐบาลออกมาฟ้องประชาชน ถึงพฤติกรรมของรัฐบาลที่บริหารประเทศไปในทิศทางที่ไม่โปร่งใส และส่อไปในทางทุจริต ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินอนาคตนของรัฐบาลนี้ ว่าหากให้อยู่ในตำแหน่ง แล้วส่งผลให้เกิดผลเสียหายกับประเทศหรือไม่”
‘วิสาร’เชื่อพิษเศรษฐกิจปี63หนัก
นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจประเทศไทยในปี 2563ถือว่าวิกฤติหนักมาก ประกอบกับการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม เป็นหัวหน้าทีม และรัฐมนตรีต่างพรรคการเมืองร่วมกันบริหาร ผลที่ออกมา คือ การทำงานที่ไปกันคนละทิศคนละทาง ผลงานจึงไม่สามารถจับต้องได้ ในขณะที่การลงทุนจากต่างชาติลดลงไป เพราะนักลงทุนมองว่ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพเพียงพอ ไม่มีความรู้ความสามารถด้านเศรษฐกิจ และไม่มีความจริงจังและจริงใจในการแก้ปัญหาประเทศ ดังนั้น หลายบริษัททั้งในและต่างประเทศจึงชะลอการลงทุนเพื่อรอรัฐบาลใหม่ เพราะหวั่นว่าหากลงทุนในช่วงรัฐบาลนี้อาจจะไม่คุ้มค่าการลงทุน และอาจประสบปัญหาหลายด้าน
แนะ’บิ๊กตู่’ยอมรับไม่รู้เรื่อง ศก.
นายวิสารกล่าวอีกว่า อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับความจริงว่าตัวพล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจเลย สิ่งที่ตามมาคือ ภาพรวมของประเทศตกต่ำลงทุกด้าน เชื่อว่าในปีนี้จะหนักกว่านี้แน่ เพราะผลกระทบจากปัจจัยภายนอกจะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งการตัดสิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) ที่สหรัฐอเมริกาประกาศใช้กับประเทศไทย สงครามการค้าโลกกำลังซื้อจากต่างประเทศหดหาย รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่า ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบในทุกๆด้านของประเทศ
“สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ควรทำคือ ไม่รู้จริงก็อย่าพูด เพราะการพูดของพล.อ.ประยุทธ์เป็นการทำร้ายเศรษฐกิจประเทศ จะส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น คนเป็นผู้นำประเทศประกาศว่าเศรษฐกิจไทยแย่แล้ว นักลงทุนที่ไหนเขาจะมาลงทุน พล.อ.ประยุทธ์ต้องกลับสู่โลกความเป็นจริง ยอมรับความจริง และเปิดทางให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมบริหารประเทศ ไม่ใช่เก่งอยู่คนเดียวแบบที่เป็นอยู่”นายวิสาร กล่าวย้ำ
โพลพบพลังเงียบหนุน รบ.ลดลง
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลการศึกษา เรื่อง ลางร้ายรัฐบาล กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่าน “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” (Social Media Voice) ด้วยระบบ Net Super Poll จำนวน 2,827 ตัวอย่าง และ “เสียงประชาชนในสังคมดั้งเดิม” (Traditional Voice) จำนวน 1,131 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1-3 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา พบว่า แนวโน้มของกลุ่มพลังเงียบลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงหลังเลือกตั้งที่เคยอยู่สูงถึงร้อยละ 56.1 ในเดือนเมษายน 2562 ร้อยละ 55.5 ในเดือนกรกฎาคม ร้อยละ 46.0 ในเดือนกันยายน ร้อยละ 43.7 ในเดือนตุลาคม ขยับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 49.0 ในเดือนพฤศจิกายน และตกฮวบลงมาอยู่ที่ร้อยละ 29.4 ในการสำรวจล่าสุดต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้
นี่คือลางร้ายของเสถียรภาพทางการเมืองและของรัฐบาล เพราะกลุ่มพลังเงียบที่เสมือนเป็นกลุ่มสร้างความสมดุลในการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองของประชาชน กำลังกระจายตัวไปอยู่ในกลุ่มไม่สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 36.6 และกลุ่มสนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 34.0 ซึ่งมีสัดส่วนไม่แตกต่างกันมากนักอย่างน่าเป็นห่วงในเรื่องของการเผชิญหน้าห่ำหั่นกัน
นายนพด กล่าวว่าที่น่าพิจารณาคือเหตุผลที่ประชาชนสนับสนุนรัฐบาลส่วนใหญ่ เป็นเพราะไม่เอาฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลโดยเด็ดขาด และได้รับประโยชน์จากมาตรการของรัฐบาล เช่น ชิมช้อปใช้ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การช่วยให้ราคาพืชผลการเกษตร เช่น ราคาปาล์มเพิ่มสูงขึ้นด้วยนโยบายด้านพลังงาน น้ำมัน B10 และโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจรากหญ้า เป็นต้น
แต่เหตุผลที่ประชาชนไม่สนับสนุนรัฐบาล คือ เบื่อรัฐบาล ไม่รู้ว่ารัฐบาลทำอะไร ไม่เห็นทำอะไรเลย รู้แต่ข่าวว่ารัฐบาลแย่ แก้เศรษฐกิจล้มเหลว เห็นแก่พวกพ้อง กลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม แย่งตำแหน่ง แย่งอำนาจ สืบทอดอำนาจ และประชาชนจำนวนมากมองด้วยว่ามาตรการรัฐบาลไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรมาก ไม่ยั่งยืน แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ วิตกกังวลต่อการเลิกกิจการ รัฐเข้มงวดมาตรการภาษีต่อธุรกิจขนาดกลางและย่อม และการไม่สนับสนุน ธุรกิจ SMEจริงจัง กฎระเบียบของรัฐทำให้ประชาชนทำมาหากินขัดสน
แนวรัฐบาลโซเซียลแพ้กระจุย
นายนพดล กล่าวด้วยว่า ผลการสำรวจ “เสียงประชาชนในโลกโซเชียล” (Social Media Voice) ผ่านระบบ Net Super Poll พบว่า การสื่อสารของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เช่น นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ , นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกิจกรรมอื่น ๆ เช่น วิ่งไล่ลุง เป็นต้น เข้าถึงคนในโลกโซเชียลมากถึง 7,278,575 คน และมีการพูดถึงกลุ่มเคลื่อนไหว วิ่งไล่ลุง 146,962 คน ในขณะที่การสื่อสารของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับกิจกรรม วิ่งเพื่อแผ่นดิน เข้าถึงคนในโลกโซเชียลเพียง 589,224 คน และล่าสุดมีคนพูดถึงเพียง 1,410 คน
นายนพดล กล่าวอีกว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าฝ่ายการบริหารจัดการข้อมูลและการสื่อสารของรัฐบาลแพ้มาตลอดจนอยู่ในสถานะที่เรียกได้ว่า “ไม่ไหวแล้ว” เพราะพลังของรัฐบาลที่ทำงานด้านข้อมูลและการสื่อสารอยู่ในสภาพเส้นหวายแตกกันเป็นเส้น ๆ กระจายตัวต่างคนต่างทำ คล้าย ๆ กับแต่ละคนพยายามโชว์ผลงานของใครของมัน ส่งผลให้ข้อมูลในโลกโซเชียลเกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีแต่คำว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดด ๆ มีคำว่า นายกรัฐมนตรี มีคำว่า รมว.กลาโหม ตัวโต ๆ มีแต่เรื่องตำแหน่งและอำนาจ ขาดการเชื่อมโยงกับใจของประชาชน
ตรงกันข้ามเมื่อมาดูข้อมูลในโลโซเชียลของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กิจกรรมวิ่งไล่ลุง พบว่า มีพลังเป็นกลุ่มก้อนไม่โดดเดี่ยว พบคำ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คู่กับ ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรณิการ์ วานิช และยังพบคำสำคัญของธนาธร คือ กลัวที่ไหน ไม่ถอยไม่ทน และเมื่อสืบค้นการสื่อสารของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พบคำ รักพ่อที่สุดในโลก คิดถึงแล้ว นอกจากนี้ เมื่อสืบค้นการสื่อสารกิจกรรมวิ่งไล่ลุง พบที่น่าสนใจขึ้นไปอีกคือวลีเด่น ๆ ว่า ปรบมือสิ รออะไร เบื่อกันทั้งประเทศแล้ว เบื่อนายก เอาเลยฮะ ไม่ถอยไม่ทน และกลัวที่ไหน
การเมืองเป็นเรื่องอารมย์
“การเมืองเป็นเรื่องของการบริหารอารมณ์ คือ ถ้าคุมอารมณ์คนได้ ก็อยู่ได้ แต่จะเห็นได้ว่าข้อความสื่อสารของฝ่ายหนึ่งใช้กลยุทธ์ปลุกอารมณ์ปั่นความรู้สึกผลักดันให้เกิดพฤติกรรมหมู่ และมีทีมงานรับทอดขยายผลเป็นหนึ่งเดียวกันสอดคล้องกันในโลกโซเชียล ขณะที่ฝ่ายนายกรัฐมนตรีกับทีมงานเน้นที่ความเป็นเหตุผล เพราะคงคิดว่าเอาหลักตรรกคุณงามความดีเป็นตัวนำ เอาความมุ่งมั่นตั้งใจของนายกรัฐมนตรีเป็นพระเอก แต่ตำราเกี่ยวกับการบริหารอารมณ์สาธารณชนชี้ให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ก่อน ส่วนเหตุผลค่อยตามมาสร้างความชอบธรรมทีหลัง
“ยิ่งไปดูที่พลังของทีมงานสื่อสารฝ่ายรัฐบาลแล้ว จะพบว่าต่างคนต่างเล่นคนละบท ขาดความเป็นหนึ่ง เหมือนเส้นหวายที่แยกออกเป็นเส้นๆไม่ได้รวบเป็นมัดๆ ทำให้ฟาดฟันอะไรไม่ได้ผล ไม่ปัง เสมือนวันเปิดคือวันปิด ไม่มีทีมงานรองรับขยายผล ไม่มีการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นต้องใช้หลัก วิเคราะห์จิต พิชิตใจ เข้าถึงและปฏิสัมพันธ์ทุกกลุ่มครอบคลุมเป้าหมาย ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อาจจะรู้จักเจ้าของหลักการนี้ดีและน่าจะใช้เขาเป็นตัวช่วย ไม่เช่นนั้นลางร้ายรัฐบาลที่ค้นพบครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นนับเวลาถอยหลังของรัฐบาลที่มาเร็วเกินคาด” นายนพดล กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี