เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2563 ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ - Issara Sereewatthanawut" ระบุว่า ทรรศนะของผมต่อคำถาม “ประเทศไทยไปทางไหนดี”
เริ่มต้นปี 2563 มีทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ ปากท้อง พ.ร.บ.งบประมาณ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ และการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ มะรุมมะตุ้มอยู่ในสภาผู้เเทนราษฎร การเมืองกับการเงินในกระเป๋าของชาวบ้านต้องเเก้จุดไหนก่อน? ผมเห็นด้วยว่า “รัฐธรรมนูญ 2560” ไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควร และมีปัญหา ข้อข้องใจหลายจุด
แต่...
หนึ่งในคุณสมบัติสำคัญที่สุดของการเป็นผู้นำคือ “การจัดลำดับความสำคัญ” เรื่องที่ผมอยากให้เราโฟกัสมากๆ จากทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพราะเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุด คือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
ข่าวโรงงานปิดตัว พร้อมกับปลดคนงานรายวัน คือของจริง เล่นจริงเจ็บจริงโดยผู้ใช้เเรงงานและผู้ประกอบการแบบไม่มีตัวเเสดงเเทน ขณะที่ “ชิม ช็อป ใช้” ก็ช่วยไม่ได้ คนตกงานไม่มีเงินเดือน แจก 1,000 บาทอยู่ได้กี่วันครับ? ให้ผมเปรียบก็เหมือน “เอายาแดงทาแผลรถคว่ำ”
ปัญหานี้แก้ยากและซับซ้อน เพราะเกิดจากปัจจัยภายนอก สองเรื่องหลักที่สัมพันธ์กัน คือ “สงครามการค้าของมหาอำนาจ” และ “ค่าเงินบาทที่แข็งตัวเกินไป” ที่สำคัญเราเป็นประเทศที่ผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก
เรื่องสงครามการค้า ใครบอกไม่เกี่ยวกับไทย เกี่ยวอย่างยิ่งครับ ผมสรุปให้ฟังง่าย ๆ อย่างนี้ครับ
เดิมทีตลาดยุโรปซื้อของชิ้นหนึ่งจากไทยราคา 10 บาท จีนขาย 8 บาท ยุโรปก็ไม่ซื้อเพราะราคาไม่ต่างมาก แต่คุณภาพไทยดีกว่า เมื่อจีนขายของไปอเมริกาไม่ได้ เขาก็ต้องหาทางระบายสินค้า จากเดิมที่ขาย 8 บาท ก็ลดราคามาเหลือ 5 บาท ยุโรปก็เปลี่ยนไปซื้อจีนเพราะถูกกว่าเป็นเท่าตัว ของพังแล้วเปลี่ยนใหม่ยังคุ้ม เมื่อปีที่แล้ว ผมเคยวิเคราะห์ตัวเลขการขายสินค้าอุตสาหกรรมประเภทหนึ่ง ที่เราขายยุโรป ลดลง มีมูลค่าเท่ากับ ที่จีนขายยุโรปเพิ่มขึ้นพอดี
ประกอบกับค่าเงินของเราแข็ง คนต่างประเทศเขาก็ไม่อยากซื้อ ไม่อยากสั่งเราผลิต เพราะเขาต้องเอาเงินเขาเยอะขึ้นมาจ่ายให้เรา และที่สำคัญที่สุด เราไม่สามารถสร้างอุปสงค์ หรือความต้องการซื้อในประเทศได้มากพอที่จะ “ชดเชย” ความต้องการซื้อจากต่างประเทศที่ลดลงได้ เพราะขนาดของประเทศเราเล็กเกินไป
นี่แค่มิติอุตสาหกรรม แต่ยังมีมิติเกษตรกรรม มิติท่องเที่ยวและบริการ ฯลฯ
หากยังไม่มีการเริ่มต้นที่ถูกจุด และปล่อยให้ปัญหาค้างคาแบบนี้ ก็เดินยาก หวังว่านายกรัฐมนตรีจะได้มีโอกาสได้ยินสิ่งที่ผมพูด ผมมีข้อเสนอแนะวิธีแก้ ไม่กล้ารับประกันว่าแก้ปัญหาได้แน่นอน แต่ผมเป็นวิศวกรคิดเเบบวิศวกรบนพื้นฐานเหตุและผลที่ว่า วิธีของผมมีโอกาสประสบผลสำเร็จมากที่สุด
และที่แน่ๆถ้าเดินไปแบบเดิมอย่างนี้ อย่างไรเสียในปี 2563 เราก็ไม่ไปไหน วันนี้เราเหมือนเอาคน 35 คนมามัดไว้ด้วยกันเป็นคณะรัฐมนตรี แต่เราเอาธงทั้งหมด 19 ธง คือนโยบายพรรคร่วมทั้ง 19 พรรค ซึ่งไปคนละทิศละทาง แล้วบอกว่าเป็นจุดหมาย ให้ก้อนคน 35 คนนี้ ซึ่งอุ้ยอ้ายและพร้อมจะเหยียบเท้ากันตลอด เดินไปเส้นชัย 19 จุดคนละทิศกัน แล้วจะแบบไหนจะถึง และจะไปได้ถึงไหนครับ? สุดท้ายก็ก้าวๆถอยๆ แบบนี้
ไม่ใช่งานเลี้ยงหูฉลามพรรคร่วมเป็นคำตอบ แต่จะต้องทำให้ธง 19 ธง เหลือแค่ 1 ธง คือธงปากท้องประชาชน และเศรษฐกิจประเทศ “ปัญหาการเมือง ต้องแก้ด้วยเศรษฐกิจ” แล้วต่อยอดไปถึงสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ สำนึกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เรามีตัวอย่างประเทศพัฒนาแล้วจำนวนมาก ที่พอเศรษฐกิจไปฉลุยแล้ว ลืมเรื่องนี้ ก็เป็นปัญหาใหม่ที่ใหญ่ไม่แพ้กัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี