หลายจังหวัดภาคเหนือยังประสบปัญหาฝุ่นพิษอย่างต่อเนื่อง โดยที่ อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ พบค่า PM2.5 สูงถึง 351 มคก./ลบ.ม. กระทบต่อสุขภาพ หายใจไม่สะดวก
แสบตา ส่วนที่ จ.พะเยาเร่งประชุมหาแนวทางรับมือวิกฤติ หลังหมอกควันปกคลุมต่อเนื่อง “สุริยะ”สั่งปูพรมตรวจ 6,104 โรงงานทั่วประเทศ เสี่ยงปล่อยมลพิษเกินมาตรฐาน โคราชเอาจริง ตั้งด่านจับกุมรถควันดำเกินมาตรฐาน สั่งปรับพร้อมสั่งหยุดใช้รถทันที
เมื่อวันที่ 29 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในหลายจังหวัดทางภาคเหนือว่า ยังมีหลายพื้นที่ที่น่าเป็นห่วง โดยที่ อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ ท้องฟ้ายังถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันไฟป่าติดต่อกันมาหลายวัน ทัศนวิสัยการมองเห็นไม่ชัด ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ หายใจไม่สะดวก แสบตา คันตามผิวหนัง ที่บริเวณ องค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)บงตัน อ.ดอยเต่า ช่วงเช้าค่าฝุ่น PM 2.5 วัดค่าได้ 351 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร(มคก./ลบ.ม.) อบต.บ้านแอ่น 219 มคก./ลบ.ม. อบต.ทุ่งโปง 190 มคก./ลบ.ม. และยังมีการลักลอบเผาต่อเนื่อง จนถึงขณะนี้จับกุมมือเผาแล้ว 40 ราย มีทั้งโทษปรับและส่งฟ้องศาลดำเนินคดี นอกจากนี้ยังพบจุดฮอตสปอตทางภาคเหนือตอนบน สูงสุดที่ จ.ตาก 151 จุด ลำปาง 89 จุด แพร่ 66 จุด เชียงใหม่ 64 จุด
ที่ จ.พะเยา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมป้องกันแก้ไขไฟป่าหมอกควัน และฝุ่น PM2.5 หลังเริ่มมีหมอกควันปกคลุมในพื้นที่เกินมาตรฐานต่อเนื่อง โดยเช้าวันนี้ ค่า PM 2.5 อยู่ที่ 87 มคก./ลบ.ม. และมีพื้นที่เสี่ยงเกิดไฟป่าหมอกควัน 9 อำเภอ 59 ตำบล 381 หมู่บ้าน ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาขยายช่วงเวลา 60 วันอันตราย งดเผาเด็ดขาด 1 มีนาคม-30 เมษายน พร้อมบูรณาการทุกหน่วยงานป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เข้มงวดการเผาในที่โล่ง และลดมลพิษจากอุตสาหกรรมและยานพาหนะ
จ.น่าน วันนี้สภาพอากาศโดยรวมบนท้องฟ้ายังปกคลุมด้วยควันไฟและฝุ่น สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษ ที่สำนักงานเทศบาลเมืองน่าน วัดค่าเฉลี่ยฝุ่น PM 2.5 ได้ 81 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ที่สถานีตรวจวัด ต.ห้วยโก๋น อ.เฉลิมพระเกียรติ วัดได้ 58 มคก./ลบ.ม. เกินมาตรฐาน ทางจังหวัดระดมกำลังเจ้าหน้าที่และจิตอาสานำรถน้ำออกฉีดน้ำล้างถนน พ่นละอองน้ำตามถนนสายหลัก เพื่อลดฝุ่น เขม่าหมอกควันไฟในอากาศ และเร่งขอความร่วมมือลดการเผาในพื้นที่การเกษตร ทั้งนี้ จ.น่าน มีกำหนดประกาศห้ามเผาโดยเด็ดขาด ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์-15 เมษายน
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยระหว่างการลงพื้นที่ตรวจโรงงานในพื้นที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ร่วมกับผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานสังกัดของกระทรวงอุตสาหกรรมจับมือกับผู้ประกอบการในการเร่งตรวจสอบ และหามาตรการในการลดปัญหามลพิษ โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเร่งด่วน เพื่อลดความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนอย่างยั่งยืน โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการเชิงพื้นที่การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพ ระบบ เครื่องมือ และกลไกการบริหารจัดการของทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ในส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมจะมีการตรวจสอบ และติดตามสถานการณ์โรงงานที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่สามารถก่อให้เกิดฝุ่นละออง PM2.5 จำนวน 6,104 แห่งทั่วประเทศ เนื่องจากเป็นโรงงานที่มีการทำงานที่เกี่ยวกับกการใช้หม้อน้ำ หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนและอุปกรณ์การเผาไหม้อื่นๆ ซึ่งมีจำนวนอุปกรณ์เหล่านั้นรวมกันกว่า 13,629 เครื่องทั่วประเทศ แบ่งเป็น โรงงานภาคกลาง 3,338 แห่ง, ภาคเหนือ 286 แห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 513 แห่ง, ภาคตะวันออก 1,148 แห่ง, ภาคตะวันตก 324 แห่ง และภาคใต้ 495 แห่ง ส่วนใหญ่ฝุ่นละออง PM2.5 จะเกิดจากกระบวนการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์
“แม้ว่ากรมควบคุมมลพิษระบุว่าปัญหา PM2.5 ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลส่วนใหญ่ เกิดจากยานพาหนะถึง 52% การเผาในที่โล่ง 35 % จากพื้นที่อื่น 7 % จากฝุ่นดิน ฝุ่นโลหะหนัก 6 % และโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงงานที่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีองค์ประกอบของซัลเฟอร์สูง ประมาณ 3-5 % นั้น กระทรวงอุตสาหกรรมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจจึงได้สั่งการให้หน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะกรมโรงงานอุตสาหกรรมให้ตรวจ ติดตาม โรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสร้างปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้หน่วยงานในสังกัด ออกมาตรการต่างๆ ในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบแล้ว มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันให้โรงงานลดการปล่อยมลพิษรวมถึงฝุ่น PM2.5 ให้เหลือน้อยที่สุดหรือเป็นศูนย์ เพื่อให้พี่น้องประชาชนอยู่ร่วมกับโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างเป็นยั่งยืน” นายสุริยะ กล่าว
วันเดียวกัน ที่บริเวณริมถนนมิตรภาพ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์นครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 , พล.ต.ต.สุจินต์ นิลพานิช ผบก.ตร.ภ.นครราชสีมา, พ.ต.อ พงพิพัฒน์ ศิริพรวิวัฒน์ รอง ผบก.ตร.ภ.นครราชสีมา และนายชาติชาย มัฆวิมาลย์ ผอ.สำนักงานขนส่งจังหวัดนครราชสีมา ได้นำเจ้าหน้าที่ขนส่ง ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ดำเนินการตรวจจับรถที่มีควันดำเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เพื่อลดปัญหาค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา รวมทั้งได้มีการใช้สีสเปย์พ่นสีแดงคำว่า ห้ามใช้ ที่บริเวณหน้ากระจกรถบรรทุกขนาดใหญ่ จำนวน 2 คันที่มีการตรวจวัดและเกินค่ามาตรฐาน หลังในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า จ.นครราชสีมามีค่าฝุ่นละออง PM 2.5 เกินมาตรฐานต่อเนื่องติดต่อกันนานนับสัปดาห์ และสาเหตุของปัญหาฝุ่นละอองเกิดจาก 4 สาเหตุหลัก คือ ปัญหาการนำรถที่มีสภาพเครื่องยนต์ที่ก่อให้เกิดควันดำมาใช้บนท้องถนน การเผาพื้นที่การเกษตร ปัญหาการปล่อยมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรม และการก่อสร้าง
สำหรับชุดปฏิบัติการตรวจจับควันดำบนท้องถนน เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ขนส่ง โดยหากพบรถยนต์ และรถโดยสารที่ใช้ควันดำเกินกว่าค่าที่กฎหมายกำหนด คือ มีค่าทึบแสงเกินร้อยละ 45 จะถูกพ่นสีสเปรย์สีแดงบนกระจกหน้ารถให้หยุดใช้รถทันที พร้อมกับสั่งปรับ โดยรถยนต์ทั่วไปปรับเป็นเงิน 2,000 บาท ส่วนรถโดยสาร และรถบรรทุกปรับ 5,000 บาท และต้องนำรถไปปรับปรุงเครื่องยนต์จนกว่าจะได้มาตรฐานถึงนำกลับมาใช้วิ่งบนท้องถนนได้ ซึ่งหากรถที่ถูกสั่งหยุดใช้รถ และยังไม่นำรถไปปรับปรุงเครื่องยนต์ แต่กลับนำรถไปใช้วิ่งบนท้องถนนอีก หากถูกจับกุมซ้ำก็จะถูกสั่งปรับ 50,000 บาท ซึ่งตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ จ.นครราชสีมา สามารถจับกุมรถที่มีควันดำเกินกว่ามาตรฐานได้แล้วมากกว่า 300 คัน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงสัปดาห์นี้หลังจากจังหวัดนครราชสีมามีมาตรการลดปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ ส่งผลให้ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่ จ.นครราชสีมาเริ่มลดลงบ้างแล้ว โดยในวันนี้วัดค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ 38 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี