“น้องช่อ” ร่ายกลางสภา ชี้รัฐประหารทำภูมิคุ้มกันประเทศบกพร่อง ซัด เป็นที่มานโยบายต่างประเทศล้มเหลว เสียเวลาเกือบ 2 ทศวรรษ คอยแก้ต่าง – แก้ตัว ต้องทำตัวหงอ เพราะมีปมด้อย ไร้ศักยภาพต่อรอง
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14.15 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ทำหน้าที่ในการประชุม มีการพิจารณาญัตติด่วน เรื่องขอให้สภาฯ พิจารณาตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางป้องกัน ไม่ให้เกิดการรัฐประหารขึ้นอีกในอนาคต ที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ เป็นผู้เสนอ โดยน.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคบัญชีรายชื่อ อภิปรายตอนหนึ่งว่า การรัฐประการเหมือนไวรัสเอชไอวี ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่องทั้งระบบ อาการป่วยไข้ที่เกิดจากไวรัสรัฐประหารที่ยังไม่มีคนพูดถึงมากนัก คือ จุดยืนที่ตกต่ำลงเรื่อยๆของไทยในเวทีโลก ที่เกิดจากวงจรอุบาทว์ในการรัฐประหาร ตนเกิดในยุคที่ประเทศไทยมีศักดิ์ศรีในเวทีโลก ในยุคที่ประเทศไทยเป็นประทีบแห่งความหวังของภูมิภาค แต่เมื่อเกิดรัฐประหารในปี 2549 การต่างประเทศของไทยที่รุ่งเรือง บทบาทของไทยที่เคยเป็นผู้นำของภูมิภาคก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า การต่างประเทศของไทยแทนที่จะใช้นโยบายทางการทูตเจรจาต่อรองกับต่างประเทศ เพื่อปกป้อง และส่งเสริม ผลประโยชน์ของคนไทย กลับกลายเป็นเครื่องมือไล่ล่าทางการเมือง ไล่ล่านักการเมืองเพียงคนเดียว เอาผลประโยชน์ของประเทศไปเจรจาต่อรองไม่ว่า เวทีไหน ทูตไทยมีหน้าที่เจรจาต่อรอง หรือทำอย่างไรก็ได้ เพื่อเอาตัวนักการเมืองคนนั้นมาลงโทษในประเทศไทย ความสูญเปล่าทางนโยบายต่างประเทศเกิดขึ้นต่อเนื่องหลายปี จากนั้นรัฐประหารปี 2557 ครั้งนี้หนักกว่าเก่า เพราะทุกครั้งที่รัฐประหารเกิดขึ้นโลกก้าวไปข้างหน้า รัฐประหารเป็นสิ่งน่ารังเกียจในประชาคมโลก และรัฐประหารปี 2547 มีภารกิจอยู่ยาวจึงมีภารกิจตามมาว่า จะแก้ตัวอย่างไรในเวทีโลก 5 ปี ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 2 ปีแรก ทูตไทยเสียเวลากับการแก้ตัวว่า เหตุใดต้องรัฐประหาร อีก 3 ปีต้องแก้ตัวว่า ทำไมต้องเลื่อนเลือกตั้ง เพราะไปที่ไหนก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเป็นประเทศที่เป็นรัฐบาลทหารไม่เป็นที่ยอมรับในเวทีโลก ดังนั้น เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่รัฐประหาร 2549 จนปัจจุบัน การระหว่างประเทศของไทยสูญเปล่าครึ่งหนึ่งไปกับการไล่ล่าล้างแค้นทางการเมือง อีกครึ่งหนึ่งตกอยู่กับการแก้ตัวว่า รัฐประหารทำไม และเมื่อไหร่จะเลือกตั้ง
“เมื่อรัฐประหารเรื่อยๆ เกียรติภูมิประเทศตกต่ำลงเรื่อยๆ ท่านก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบหงอ คือ กลัวเพื่อนไม่คบ ทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองได้รับการคบหาสมาคม ยอมเจรจาแบบเสียเปรียบ นอกจากเสียศักดิ์ศรียังเสียศักยภาพในการต่อรองเจรจาระหว่างประเทศ พอท่านหงอไม่มีศักยภาพในการเจรจาต่อรอง เพราะเป็นรัฐบาลมีปมด้อย เป็นรัฐบาลเผด็จการ ท่านจะไปขอให้ประเทศต้นน้ำแม่น้ำโขงเปิดเขื่อนก็ไม่กล้า เกรงใจ เพราะพึ่งใบบุญเขาอยู่ ท่านจะขอเอาคนไทยกลับจากอู่ฮั่น ก็เกรงใจว่า จะกระทบความสัมพันธ์ สุดท้ายหงอไปหมด ประนีประนอมผลประโยชน์ของคนไทย กับการได้รับการยอมรับของรัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรม” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า เรายังกลับมาเป็นผู้นำในภูมิภาคได้อีก สิ่งที่ต้องมีคือ การต่างประเทศในอุดมคติ มีนโยบายภายใน และภายนอก ที่สอดคล้องกัน มีนิติรัฐมีประชาธิปไตย และเคารพหลักการสากลในสิทธิมนุษยชน ทำตนเป็นที่พึ่งพาได้ของประเทศเพื่อนบ้าน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ดังนั้น เราต้องยุติระบอบรัฐประหารซ้ำซาก ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องมีกลไกต่อต้านการรัฐประหาร และควรมีสภาผู้แทนราษฎรที่ริเริ่มทำหน้าที่นี้ และขอฝากไปยังทหาร เพราะเชื่อว่า มีทหารที่ดีเป็นมืออาชีพ ให้ช่วยกันปกป้องเกียรติภูมิของคนไทย
ด้าน นายเกษมสันต์ มีทิพย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายว่า ประเทศไทยมีโอกาสเกิดรัฐประหารในอนาคตได้อีก ลุงคนเก่าไป ลุงคนใหม่มา เป็นอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ วิ่งไล่กันไม่หมด ประเทศชาติเลยไม่ได้ผุดได้เกิด จึงขอวิงวอนให้สมาชิกสภาฯ สนับสนุนให้มีการตั้งกรรมาธิการฯ ขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้รัฐบาลนำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม มาเป็นกรรมาธิการฯ ด้วย เพราะคงไม่มีใครที่จะมีความรู้และจะป้องกันการรัฐประหารได้ดีเท่ากับหัวหน้าคณะรัฐประหารในอดีตได้อีกแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี