กมธ.แก้รธน.เสียงแตก ‘ไพบูลย์’เผยมีทั้งหนุน-ค้านแก้มาตรา256
7 กุมภาพันธ์ 2563 ที่รัฐสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่น ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้มีการพิจารณาบทบัญญัติเกี่ยวกับมาตรา 256 ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่ยังไม่สามารถพิจารณาได้แล้วเสร็จ เนื่องจากมีความเห็นออกเป็นสองทาง ได้แก่ ฝ่ายที่สนับสนุนให้แก้ไขมาตรา 256 ที่ได้ยกเหตุผลว่าสมควรให้มีการแก้ไขได้ง่ายขึ้นกว่าบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน และฝ่ายที่คัดค้านการแก้ไขมาตรา 256 เพราะเห็นว่าเมื่อมีการแก้ไขจะต้องมีการทำประชามติ อันเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณถึงประมาณ 3 พันล้านบาท
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 256 แม้ในที่ประชุมจะมีกรรมาธิการวิสามัญเสนอว่าจำเป็นที่ต้องแก้ไขให้เป็นสากล แต่จากการสืบค้นข้อมูลทางวิชาการพบว่าในหลายประเทศก็ได้กำหนดขั้นตอนของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญยากกว่ากรณีของประเทศไทย เช่น ประเทศญี่ปุ่นที่กำหนดให้เสียงข้างมาก 2ใน3 หรือบางประเทศต้องผ่านการลงมติให้ความเห็นชอบจากทีละสภา
“ที่สำคัญมาตรา 256 มีเจตนารมณ์ต้องการแก้ไขปัญหาเสียงข้างมากลากไปที่เกิดขึ้นกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญพ.ศ.2550 จนถึงขั้นมีการเสนอเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งบุคคลที่ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเวลานั้น ปัจจุบันกำลังดำรงตำแหน่งส.ว.ตามบทเฉพาะกาลในปัจจุบัน จึงมีความเป็นไปได้ที่ส.ว.ย่อมจะไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 256” นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ทำให้การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯในมาตรา 256 จำเป็นต้องชะลอการพิจารณาไปก่อน เพื่อให้คณะกรรมาธิการวิสามัญฯได้เดินหน้าพิจารณาเรื่องอื่นๆต่อไป โดยในวันนี้จะเป็นการพิจารณารายงานเกี่ยวกับการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งมีจำนวน 7-8 มาตรา โดยคิดว่ากลุ่มมาตราเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ จะสามารถนำไปสู่การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตได้ตามกลไกมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และมั่นใจรัฐสภาจะให้ความเห็นชอบด้วย
“การศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แบ่งกลุ่มการพิจารณาออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มมาตราที่น่าจะสามารถแก้ไขได้ทันที โดยไม่ต้องแก้ไขมาตรา 256 โดยเชื่อว่าหลังจากที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯมีข้อเสนอออกมาแล้วจะสามารถนำไปสู่การแก้ไขได้ 2.กลุ่มมาตราที่อาจต้องใช้เวลาพิจารณาประมาณ 1 -2 ปี เพื่อรอให้ส.ว.ชุดใหม่ เช่น ระบบการเลือกตั้งส.ส.และประเด็นที่เป็นความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง ซึ่งไม่สามารถหาความเห็นร่วมกันในช่วงเวลาการทำงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญ และ กลุ่มที่ 3 เป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากส.ว.ตามบทเฉพาะกาล เช่น มาตรา 256 ซึ่งเชื่อว่าวุฒิสภาจะไม่เห็นด้วย รวมไปถึงการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญและการแก้ไขบทเฉพาะกาล โดยคิดว่าอาจต้องรอให้พ้นระยะเวลา 5 ปีเพื่อให้ส.ว.ชุดใหม่ที่มาจากการเลือกกันเองของกลุ่มวิชาชีพมาดำเนินการแทน” นายไพบูลย์ กล่าว
ขณะที่ การพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2563 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในวันนี้ นายไพบูลย์ กล่าวว่า เชื่อว่าจะเป็นไปตามแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เน้นให้ความสำคัญกับองค์ประชุมของสภาเป็นสำคัญ ซึ่งส่วนตัวยังมีความเห็นว่าการพิจารณาร่างกฎหมายประมาณเป็นไปตามมาตรา 120 ว่าด้วยเรื่ององค์ประชุมและการใช้มติเสียงข้างมาก แม้ว่าการออกเสียงบางส่วนจะมีปัญหาก็ตาม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี