เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 นายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก มีเนื้อหาระบุว่า คำว่า “ชอบด้วยกฎหมาย” ในทางนิติศาสตร์จะต้องชอบด้วยเนื้อหาสาระ (substance) และชอบด้วยกระบวนการหรือวิธีการ (procedure) จึงต้องมีกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณากำกับกระบวนการต่างๆ ว่าจะต้องกระทำอย่างถูกต้องที่เรียกว่า “ศุภนิติกระบวน” (due process of law) เช่น กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่กำกับการทำงานของพนักงานสอบสวน อัยการ และศาล เป็นต้น
สำหรับความชอบด้วยกฎหมายของการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ก็เช่นกัน จะต้องชอบด้วยเนื้อหาสาระและชอบด้วยกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ โดยในส่วนของเนื้อหาสาระรัฐธรรมนูญมาตรา 148 วรรคสามและสี่ ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยเนื้อหาสาระของกฎหมายนั้นว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญในสาระสำคัญหรือไม่ หากขัดในสาระสำคัญกฎหมายนั้นจะตกไปทั้งฉบับ แต่หากไม่ใช่สาระสำคัญจะตกไปเฉพาะส่วนที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ
ส่วนกระบวนการตรากฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เช่น การเสียบบัตรแทนกันที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเพราะ ส.ส. มีสิทธิออกเสียงได้หนึ่งคนหนึ่งเสียง นั้น รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจไปวินิจฉัยว่า กระบวนการใดเป็นสาระสำคัญหรือไม่ ดังนั้น หากกระบวนการตรากฎหมายไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้กฎหมายนั้นเสียไปทั้งฉบับ ดังเช่นพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายที่ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลออกเสียงแทนกันที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้สภาผู้แทนราษฎรนำร่างกฎหมายงบประมาณฯ ไปดำเนินการใหม่เฉพาะในวาระที่สองและสาม นั้น ผมเห็นว่า ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหลายประการ กล่าวคือ
(1) รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจศาลมีอำนาจวินิจฉัยในส่วนที่เป็นกระบวนการว่าเป็นสาระสำคัญหรือไม่ ดังนั้น หากกระบวนการตรากฎหมายซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนรวมสามวาระ หากขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งทำไม่ถูกต้องก็จะต้องเสียไปทั้งหมด
(2) สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติในวาระที่สามเสร็จสิ้นแล้วจึงล่วงเลยเวลาที่จะให้ย้อนกลับไปทำใหม่ เปรียบเทียบได้กับการนำคดีที่สอบสวนโดยไม่ชอบมายื่นฟ้องต่อศาล ศาลมีอำนาจวินิจฉัยว่าชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจสั่งให้พนักงานสอบสวนกลับไปสอบสวนใหม่เพราะล่วงเลยเวลาของขั้นตอนนั้นแล้ว
(3) นอกจากนี้ ร่างกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญให้นำกลับมาลงมติใหม่ในวาระที่สองและสามคือร่างที่ถูกแปรญัตติแล้วซึ่งล่วงเลยเวลา 105 วัน ตามมาตรา 143 วรรคแรก เป็นผลให้ร่างที่จะนำมาลงมติใหม่นั้นใช้บังคับไม่ได้ตามวรรคสอง ผลคือแม้ลงมติแล้วแต่จะต้องนำเอาร่างแรกที่ ครม. เสนอต่อสภาในชั้นรับหลักการส่งให้ ส.ว. พิจารณาแทน
(4) หาก ส.ว. ยอมรับร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนนำกลับมาลงมติลงมติใหม่ไว้พิจารณาก็จะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 143 วรรคสอง เพราะร่าง พรบ. งบประมาณฯ นั้นถูกเสนอมาเลยเวลา 105 วัน
(5) อำนาจและหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้มีตามมาตรา 210 (1) คือ พิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมายเท่านั้น ผมจึงเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจไปสั่งให้สภาผู้แทนราษฎรนำเอาร่างกฎหมายไปพิจารณาใหม่ ส่วนที่อ้างมาตรา 74 ของกฎหมายวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญก็เกินจากอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
(6) ในส่วนของผู้แทนราษฎรไม่มีหน้าที่จะต้องไปทำตามที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่ง เพราะ ส.ส. ไม่ใช่จำเลยหรือคู่ความในคดี ส.ส. มีหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
นี่เป็นอีกสาเหตุที่ผมและพรรคเพื่อไทยเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมี สสร. ที่มาจากประชาชนยกร่างขึ้นมาใหม่ทั้งฉบับ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกติกาการอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมจะต้องให้คนในสังคมนั้นเป็นผู้กำหนดไม่ใช่ปล่อยให้พวกที่เผด็จการแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้กำหนดอันจะนำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างไม่รู้จบ ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ภายใต้ความยุติธรรมที่มีบรรทัดฐานเดียวกันเท่านั้น
วัฒนา เมืองสุข
8 กุมภาพันธ์ 2563
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี