คดี 'ยงยุทธ วิชัยดิษฐ' อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย –อดีตรองปลัดมหาดไทย ทุจริตที่ดินอัลไพน์ถึงที่สุด ศาลฎีกาไม่รับฎีกา ต้องเข้าเรือนจำรับโทษตามคำตัดสินศาลอุทธรณ์จำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา ด้านโฆษกศาล”เปิดเงื่อนไขรับอนุญาตฎีกาสุดเข้ม 7 ข้อ คดีทุจริตฯอัลไพน์
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อท.38/2559 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อายุ 78 ปี อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
กรณีที่ ปปช.กล่าวหา นายยงยุทธ จำเลย ขณะดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบในการพิจารณาอุทธรณ์และสั่งเพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน โดยมีเจตนาช่วยเหลือบริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด, บริษัท กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด และผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในเวลาต่อมาให้ได้รับประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย นายยงยุทธ ให้การปฏิเสธ
คดีนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2559 เห็นว่า การที่นายยงยุทธ จำเลยพิจารณาอุทธรณ์ และมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งให้ยกเลิกโฉนดที่ดินที่จดทะเบียนในนาม ‘สนามกอล์ฟอัลไพน์’ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นที่ธรณีสงฆ์จากการที่นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา เจ้าของที่ดินที่ถึงแก่ความตายแล้วได้ทำพินัยกรรมยกที่ดิน 2 แปลงดังกล่าว ให้แก่วัดธรรมิการามวรวิหารนั้น แต่จำเลยออกคำสั่งโดยมิชอบ จงใจละเลยข้อเท็จจริงต่างๆ และยังจงใจตีความกฎหมายให้ผิดเพี้ยนไปจากความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2482 ที่ระบุให้กระทรวงถือปฏิบัติตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ดังนั้นคำสั่งของนายยงยุทธ จำเลยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแก่ผู้อื่น และก่อให้เกิดความเสียหายแก่วัดธรรมิการามวรวิหาร ทั้งยังทำลายศรัทธาของผู้ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง พิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
จำเลยยื่นอุทธรณ์และได้รับประกันตัวในวงเงินประกัน 5 แสนบาท ต่อมาวันที่ 28 ก.พ.2562มีการอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ให้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ลงโทษ จำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ เห็นว่า การที่จำเลยขณะดำรงตำแหน่งรักษาการปลัดมหาดไทย แล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนมติอธิบดีกรมที่ดินเรื่องที่ดินอัลไพน์เป็นที่ธรณีสงฆ์นั้น โดยไม่นำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งมีแนวทางวินิจฉัยไว้แล้วมาพิจารณาประกอบเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบและโดยทุจริต ทั้งที่แนวทางปฏิบัติเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นมาแล้วฝ่ายบริหารจะให้หน่วยราชการยึดถือปฏิบัติธรรมเพื่อการบริหารราชการแผ่นดินในมาตรฐานทางเดียวกัน เพราะมิเช่นนั้นในแต่ละยุคสมัยจะมีความเห็นต่างกันสร้างความเสียหายแก่ระบบบริหารราชการแผ่นดินได้
นายยงยุทธ จำเลยได้ยื่นขออนุญาตฎีกา ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 ตามมาตรา 42, 44, 46 ที่บัญญัติว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบให้เป็นที่สุด หากคู่ความประสงค์จะฎีกาจะต้องยื่นคำร้องแสดงเหตุที่ศาลฎีกาควรรับฎีกาไว้พิจารณา ซึ่งระหว่างยื่นขออนุญาตฎีกาดังกล่าว จำเลยได้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์มูลค่า 9 แสนบาท พร้อมเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
วันนี้นายยงยุทธ จำเลยเดินทางมาศาลพร้อมฟังคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีคำสั่งคำร้องฯ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า คำร้องขอฎีกาของนายยงยุทธ จำเลยไม่ได้แสดงถึงปัญหาข้อเท็จจริง หรือปัญหาข้อกฎหมายที่ขออนุญาตฎีกา ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 ตามมาตรา 47 และข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยวิธีการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 ข้อ 28 (1) จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกา ยกคำร้อง ไม่รับฎีกาของจำเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีคำสั่งคำร้องฯไม่รับฎีกาของจำเลยแล้ว ตามขั้นตอนกฎหมายผลคำพิพากษาคดีนี้จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนจำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ โดยเมื่อเวลา 12.00 น.เศษ ศาลได้ออกหมายขังคดีถึงที่สุด ซึ่งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะควบคุมตัว นายยงยุทธ จำเลยไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเพื่อรับโทษตามคำพิพากษา
ด้านนายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวถึงข้อกฎหมายเกี่ยวกับการขออนุญาตฎีกา ภายหลังศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรมว.มหาดไทย จำเลยฎีกาในคดีทุจริตที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนจำคุกง 2 ปี ว่า
คดีนี้เป็นคดีที่ฟ้องภายหลังจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเปิดทำการแล้วจึงต้องใช้พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพ.ศ. 2559 มาบังคับซึ่งมาตรา 42 กำหนดว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบให้เป็นที่สุดหากคู่ความประสงค์จะฎีกาต้องปฏิบัติตามมาตรา 44 ที่กำหนดให้การฎีกาผู้ฎีกาต้องยื่นคำร้องแสดงเหตุที่ศาลฎีกาควรรับฎีกาไว้พิจารณาพร้อมกับคำฟ้องฎีกาด้วย
โดยเหตุที่ศาลฎีกาจะพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาได้ระบุไว้ในมาตรา 46 คือต้องเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัยซึ่งรวมถึงปัญหาดังต่อไปนี้
(1) ปัญหาที่เกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ
(2) เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่สำคัญขัดกันหรือขัดกับแนวบรรทัดฐานของคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกา
(3) คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สำคัญซึ่งยังไม่มีแนวคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกามาก่อน
(4) เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบขัดกับคำพิพากษาหรือคำสั่งอันถึงที่สุดของศาลอื่น
(5) เมื่อจำเลยต้องคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบให้ประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
(6) เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วอาจมีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์คดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
(7) ปัญหาสำคัญอื่นตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาซึ่งข้อบังคับของประธานศาลฎีกาได้กำหนดปัญหาสำคัญอื่นเพิ่มเติมอีก 2 กรณีคือ
(1)คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบมีความเห็นแย้งในสาระสำคัญ
(2) คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้วินิจฉัยข้อกฎหมายสำคัญที่ไม่สอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันกับประเทศไทยส่วนเรื่องการยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกาก็เป็นสิทธิที่จำเลยพึงกระทำได้ซึ่งหากมีการยื่นขอปล่อยชั่วคราวมาทางองค์คณะก็จะเป็นผู้พิจารณาคำร้องดังกล่าวว่าเห็นควรส่งให้ศาลฎีกาเป็นผู้วินิจฉัยหรือพิจารณามีคำสั่งได้เลย
นายสุริยัณห์ อธิบายเพิ่มว่า สำหรับคดีอาญาทั่วไปหรือเป็นกรณีที่ฟ้องก่อนจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบก็จะต้องใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งบัญญัติไว้ว่า หากคู่ความจะฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องปฏิบัติตามมาตรา 221 ในคดีซึ่งห้ามฎีกาไว้โดยมาตรา 218,219เเละ220 แห่งประมวลกฎหมายนี้ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาหรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัยก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไป
ส่วนคดีนายยงยุทธนี้ เป็นคดีที่ต้องใช้พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ฯ ซึ่งเมื่อศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก2 ปีซึ่งต้องห้ามคู่ความคือห้ามทั้งโจทก์และจำเลยฎีกา ตรงนี้การยื่นฎีกาได้จะต้องขออนุญาตฎีกาซึ่งจะต้องใช้ผู้พิพากษาศาลฎีกาพิจารณาอนุญาตเเละจะต้องเข้าเงื่อนไขตามที่กล่าวไว้ข้างบน ซึ่งจะมีความเเตกต่างกับการรับรองฎีกาใน ป.วิอาญาที่เพียงใช้ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นหรือชั้นอุทธรณ์ที่พิจารณาหรือลงลายมือชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งพิจารณาและอนุญาตให้ฎีกาหรือให้อัยการสูงสุดรับรองฎีกา .
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี