1.การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2563 จะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้(หลังจากว่างเว้นไปนานกว่า 5 ปี) ดังนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จึงน่าจะอยู่ในความสนใจของประชาชนมากพอสมควร การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านๆ มามักจะให้ความสำคัญกับประเด็น “การทุจริตคอร์รัปชั่น”ที่แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจการบริหารประเทศเพื่อการหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพรรคพวก แน่นอนว่า การกล่าวหารัฐมนตรีว่าทุจริตจำเป็นจะต้องแสดงหลักฐานการทุจริต ถ้าผู้อภิปรายไม่สามารถแสดงหลักฐานการทุจริตได้ น้ำหนักการกล่าวหาก็จะอ่อน และผู้อภิปรายกับประชาชนก็จะเรียกร้องให้รัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหา ว่าควรมีมารยาททางการเมืองด้วยการลาออกจากตำแหน่ง ส่วนรัฐมนตรีก็จะยืนกรานว่าตนไม่ได้ทุจริต ที่อภิปรายเป็นเพียงการกล่าวหา ทำไมจึงต้องลาออก ข้อโต้เถียงก็จะวนกลับไปกลับมาเช่นนี้
ดังนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จึงจะบอกความจริงกับประชาชนอีกครั้งหนึ่งว่า สส. และรัฐมนตรีมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากแบบแผนเดิมดังที่กล่าวมาแล้วหรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็แสดงว่า สส. และรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน ก็ยังคงอยู่ในมาตรฐานเดิม อีกด้านหนึ่ง ถ้า สส. ที่อภิปรายมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงหลักฐานประกอบเหตุผลการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ชัดเจน ก็จะต้องตามดูต่อไปว่า รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายจะมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่ อย่างไร ซึ่งถึงเวลานั้นประชาชนจะเป็นคนตัดสินเอง
2.การอภิปรายไม่ไว้วางใจอีกมิติหนึ่งคือ การอภิปรายข้อผิดพลาดทางการบริหารหรือกำหนดนโยบาย ประเด็นนี้ รัฐมนตรีและประชาชนอาจจะรู้สึกว่าไม่น่ากลัวเท่ากับข้อหาการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า การบริหารหรือนโยบายที่ผิดพลาดนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน นั่นคือปัญหาของประชาชนยังคงอยู่ประชาชนยังคงต้องแบกรับภาระของปัญหาเช่นเดิม เช่น การแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 เมื่อรัฐมนตรีหรือรัฐบาลที่รับผิดชอบไม่สามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นควันได้ประชาชนก็ยังคงต้องสูดหายใจเอาฝุ่นควันเข้าไปในร่างกายเหมือนเดิม เป็นต้น
อีกประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ประชาชนให้ความสนใจ คือ ความสามารถในการอภิปรายของ สส.ในสภาฯ ซึ่งการอภิปรายที่ดีนั้น ต้องเป็นไปด้วยข้อมูลจริง และเหตุผลที่หนักแน่น สิ่งเหล่านี้เองที่จะสร้างความน่าเชื่อถือของประชาชนต่อสภาผู้แทนราษฎรให้ยิ่งมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม การอภิปรายไม่ไว้วางใจมักจะเกิดการประท้วงกันมากมาย เสียเวลา เสียอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่ฟังการอภิปรายอย่างมากจนทำให้เกิดการเบื่อหน่ายการอภิปราย ไปจนถึงการเสียภาพลักษณ์ของสภาฯ ไปด้วย จากอดีตที่ปรากฏให้เห็นทำให้เกิดคำถามว่า การประท้วงอย่างฟุ่มเฟือย จะเกิดขึ้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้หรือไม่ แน่นอนว่า ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า จะมีการประท้วงมากหรือน้อยแค่ไหน การเตรียมการของฝ่ายค้านที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เป็นด้านหนึ่ง ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็มีการเตรียม สส. ที่จะประท้วง และช่วยรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายเช่นกัน ตามที่เรียกกันว่า “องครักษ์” ที่คอยปกป้องรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย การประท้วงจะมีมากหรือน้อยจึงขึ้นอยู่กับการอภิปรายของ สส. ฝ่ายค้าน และการตอบคำถามของรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย ว่าอยู่ในกรอบของข้อบังคับการประชุมสภาฯ หรือไม่
3.สำหรับประชาชนที่ชมการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ อาจมองว่าการประท้วงที่พร่ำเพรื่อเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย แต่สำหรับ สส. ในสภาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการอภิปราย ถือว่าเป็นการชิงไหวชิงพริบในสภาที่น่าตื่นเต้น และเป็นการสะสมประสบการณ์การปฏิบัติหน้าที่ในสภาอย่างมาก เช่น ผู้ประท้วงจะต้องรู้ประเด็นที่จะประท้วง และสามารถอ้างข้อบังคับการประชุมที่เปิดให้ตนท้วงได้ และการประท้วงก็อาจจะถูกโต้จาก สส. อีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยการประท้วงเช่นกัน ผู้ประท้วงที่ประท้วงซ้อนก็จะต้องมีประเด็นที่ชัดเจนที่สามารถประท้วงได้ พร้อมกับมีข้อบังคับการประชุมที่เปิดให้ประท้วงได้ด้วย การต่อสู้กันเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและเป็นทักษะขั้นสูงที่ไม่ใช่ สส. ทุกคนจะทำได้ ถ้าเรามองการประท้วงในแง่มุมที่กล่าวนี้ ความเบื่อหน่ายต่อการประท้วงก็อาจจะลดลงได้บ้าง
4.ประเด็นที่น่าสนใจของการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน คือการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้มีสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลสามารถใช้สื่อสังคมออนไลน์อภิปรายได้ก่อนตั้งแต่ยังไม่เปิดการอภิปราย และระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯ สื่อสังคมออนไลน์สามารถที่จะนำเสนอการอภิปรายบางตอนที่ตนพอใจหรือไม่พอใจ พร้อมกับให้ความคิดเห็นทั้งสนับสนุนและคัดค้าน และเมื่อจบการอภิปรายแล้ว ผลการลงมติจะเป็นอย่างไรก็ตาม สื่อสังคมออนไลน์ก็จะนำไปขยายผลสร้างความคิดเห็นให้ประชาชนคล้อยตามความคิดเห็นของตน
ดังนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จึงได้รับอิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีบทบาทชี้นำอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว นั่นหมายความว่า ชัยชนะของการลงมติในสภาฯ ต่อการให้ความไว้วางใจหรือไม่กับรัฐมนตรีที่ถูกอภิปราย อาจจะไม่ได้ตรงกับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่ได้รับจากสื่อสังคมออนไลน์ก็เป็นได้ผมเชื่อว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นนี้ จะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของการเมืองไทย ที่สื่อสังคมออนไลน์จะมีบทบาทชี้นำสูง เช่นเดียวกับการเลือกตั้งเมื่อมีนาคม 2562 ครับ
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี