วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจังหวัดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทดำเนินกิจการรถไฟฟ้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัด พิษณุโลก
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ
4. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติโอนหน้าที่และอำนาจ และกิจการบริหารบางส่วน ของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปเป็นของสำนักงาน ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระจกฉนวน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐานพ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
8. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า)
9. เรื่อง ขอทบทวนวันใช้บังคับกฎหมายตามร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องกำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ - สังคม
10. เรื่อง โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี
11. เรื่อง การจัดกลุ่มองค์การมหาชน กรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
12. เรื่อง ขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัชรวมถึงส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน – ปากเกร็ด(ทางพิเศษอุดรรัถยา) รวม 2 ฉบับ
13. เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา(คณะกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ที่จังหวัดนครราชสีมา)
14. เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2562 ทั้งปี 2563 และแนวโน้มปี 2563
ต่างประเทศ
15. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ครั้งที่ 5
16. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านการขนส่งทางถนน ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่งแห่งสาธารณรัฐเกาหลี
17. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน – จีน สมัยพิเศษว่าด้วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
แต่งตั้ง
18. เรื่อง การเปลี่ยนโฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม)
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง(กระทรวงการต่างประเทศ)
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง(กระทรวงพาณิชย์)
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง(กระทรวงศึกษาธิการ)
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง(สำนักนายกรัฐมนตรี)
25. เรื่อง การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (กระทรวงการต่างประเทศ)
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย อก. เสนอว่า
1. โดยที่ระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยข้อ 8 (3) และ (4) แห่งระเบียบดังกล่าวได้กำหนดให้คุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยต้องมีสมาชิกเป็นชาวไร่อ้อยไม่น้อยกว่า 600 คน และมีปริมาณอ้อยของสมาชิกที่ส่งให้แก่โรงงานใดโรงงานหนึ่งรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 55 ของปริมาณอ้อยที่โรงงานนั้นหีบทั้งหมดในแต่ละฤดูการผลิต ตามลำดับ และในวรรคสองของข้อ 8 กำหนดให้คุณสมบัติตาม (3) และ (4) สำหรับสหกรณ์ที่มีฐานะเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยอยู่เดิม ให้ใช้บังคับตั้งแต่ฤดูการผลิตปี 2561/2562 เป็นต้นไป
2. ต่อมาได้มีข้อร้องเรียนจากชุมนุมสหกรณ์การเกษตรชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย จำกัด ซึ่งมีฐานะเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยอยู่เดิม ว่าได้รับผลกระทบจากการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยตามข้อ 1. โดยเห็นว่าการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยดังกล่าวเป็นการกีดกันกลุ่มเกษตรกรชาวไร่อ้อย สหกรณ์ชาวไร่อ้อย สมาคมชาวไร่อ้อย ซึ่งมีขนาดเล็ก ทำให้ไม่สามารถจัดตั้งเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยได้ จึงขอยกเว้นการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อยสำหรับชุมนุมสหกรณ์การเกษตรชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย จำกัด ซึ่งมีฐานะเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยอยู่เดิม เพื่อให้ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย จำกัด สามารถจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยและมีสิทธิรับเงินค่าบำรุงสถาบันชาวไร่อ้อยที่โรงงานอ้อยหักจากเงินค่าอ้อยที่ชาวไร่อ้อยซึ่งเป็นสมาชิกสหกรณ์จำหน่ายแก่โรงงาน โดยจะส่งผลให้ชุมนุมสหกรณ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย จำกัด มีงบประมาณมาจัดสรรให้แก่สหกรณ์สมาชิก เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบอาชีพของชาวไร่อ้อยซึ่งเป็นสมาชิกของสหกรณ์ต่อไป
3. ดังนั้น เพื่อให้ชุมนุมสหกรณ์ที่มีฐานะเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยอยู่เดิม สามารถจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยได้และมีสิทธิรับเงินค่าบำรุงสถาบันชาวไร่อ้อย จึงเห็นควรแก้ไขระเบียบตามข้อ 1. เพื่อยกเว้นการกำหนดคุณสมบัติตามข้อ 8 (3) และ (4) แห่งระเบียบดังกล่าว อก. โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) จึงได้ยกร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ขึ้น เพื่อยกเว้นการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยตาม (3) และ (4) ของข้อ 8 แห่งระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ออกไปอีก 2 ฤดูการผลิต โดยให้ใช้บังคับกับสหกรณ์ชาวไร่อ้อยที่มีสถานะเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยอยู่เดิม จากเดิมที่กำหนด “ใช้บังคับตั้งแต่ฤดูการผลิตปี 2561/2562 เป็นต้นไป” เป็น “ให้ใช้บังคับตั้งแต่ฤดูการผลิตปี 2563/2564 เป็นต้นไป” ทั้งนี้ การตรวจสอบคุณสมบัติสถาบันชาวไร่อ้อยรายเดิมจะเริ่มดำเนินการในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการชะลอการตรวจคุณสมบัติ
4. คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ในการประชุมครั้งที่ 11/2562 เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบร่างร่างระเบียบตามข้อ 3. ดังกล่าวตามที่ สอน. เสนอ
จึงได้เสนอร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างระเบียบ
แก้ไขปรับปรุงโดยขอยกเว้นการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยตาม (3) และ (4) ของข้อ 8 แห่งระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ออกไปอีก 2 ฤดูการผลิต โดยให้ใช้บังคับกับสหกรณ์ชาวไร่อ้อยที่มีฐานะเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยอยู่เดิมตั้งแต่ฤดูการผลิตปี 2563/2564 เป็นต้นไป
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจังหวัดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดพิษณุโลก
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจังหวัดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้ รฟม. ดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดพิษณุโลก
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด และร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป และให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัติ รวม 3 ฉบับนี้ เป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้
เรื่อง |
สาระสำคัญ |
1. ประมวลกฎหมายยาเสพติด |
- กำหนดให้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับเป็นต้นไป - เมื่อประมวลกฎหมายยาเสพติดมีผลใช้บังคับแล้ว ให้ยกเลิกบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดและกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 21 ฉบับ |
2. ตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ |
- กำหนดให้ข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ที่ผ่านการฝึกอบรมเป็นตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน และกำหนดให้ได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ |
2. ร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดมีสาระสำคัญ ดังนี้
เรื่อง |
สาระสำคัญ |
1. การป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด |
- กำหนดให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนระดับชาติดังกล่าว - กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (คณะกรรมการ ป.ป.ส.) มีหน้าที่และอำนาจในการเสนอนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ติดตาม ดูแล และสนับสนุนให้มีการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายและแผนระดับชาติดังกล่าว - กำหนดหน้าที่และอำนาจของ สำนักงาน ป.ป.ส. ให้เป็นหน่วยงานกลางในการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด |
2. การควบคุมยาเสพติด |
- กำหนดให้มีคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด มีหน้าที่และอำนาจกำหนดมาตรการในการควบคุมยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ และสารระเหย - แบ่งประเภทของยาเสพติดให้โทษออกเป็น 5 ประเภท และแบ่งประเภทของวัตถุออกฤทธิ์ออกเป็น 4 ประเภท - กำหนดการอนุญาตเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ ซึ่งหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการขออนุญาต การอนุญาต และการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวงหรือประกาศ - กำหนดมาตรการควบคุมพิเศษในการป้องกัน ปราบปราม แก้ไขปัญหา และควบคุมยาเสพติด โดยกำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ส. อาจกำหนดพื้นที่ในการทดลองเพาะปลูกพืชที่เป็นหรือให้ผลผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษหรืออาจใช้ผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษ หรือผลิตและทดสอบเกี่ยวกับยาเสพติด |
3. การตรวจสอบทรัพย์สิน |
- กำหนดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน มีหน้าที่และอำนาจในการดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด |
4. กองทุน |
- กำหนดให้มีกองทุนป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยการบริหารและการดำเนินการของกองทุนให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการ ป.ป.ส. กำหนด |
5. การบำบัดรักษาและการฟื้นฟูสภาพสังคมแก่ผู้ติด ยาเสพติด |
- กำหนดให้มีคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด มีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดนโยบายและมาตรการเกี่ยวกับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด รวมถึงวางแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือด้านสวัสดิการสังคม การสังคมสงเคราะห์ที่จำเป็นและเหมาะสม และช่วยเหลือสนับสนุนให้ผู้ติดยาเสพติด หรือผู้ผ่านการบำบัดรักษาให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ - กำหนดให้ผู้กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติด หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์เพื่อเสพ ซึ่งเข้ารับการบำบัดรักษาแล้ว พ้นจากความผิดฐานดังกล่าว โดยผู้กระทำความผิดสามารถสมัครใจเข้ารับการบำบัด รักษาได้
- กำหนดให้มีศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม มีหน้าที่และอำนาจในการติดตาม ดูแล ให้คำปรึกษา แนะนำ ให้ความช่วยเหลือ และสงเคราะห์แก่ผู้เข้ารับการบำบัดรักษา เพื่อให้ผู้เข้ารับการบำบัดรักษาได้รับการฟื้นฟูสภาพทางสังคม |
6. ความผิดและบทกำหนดโทษ |
- กำหนดความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ และความผิดเกี่ยวกับการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด รวมถึงโทษสำหรับความผิดดังกล่าว |
3. ร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
เรื่อง |
สาระสำคัญ |
1. ผู้รักษาการ |
- เพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รักษาการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดียาเสพติด |
2. เพิ่มหน้าที่และอำนาจของกรรมการ ป.ป.ส. เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. |
- เข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใด ๆ เพื่อตรวจค้นเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยตามสมควรว่ามียาเสพติด มีบุคคลผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งถ้าหากปล่อยให้เนิ่นช้าไป บุคคลนั้นจะหลบหนีไป หรือทรัพย์สินนั้นจะถูกโยกย้าย ทำลาย หรือสูญหาย - ค้นบุคคลหรือยานพาหนะใด ๆ ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ - ค้นหรือจับกุมบุคคลใด ๆ ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด - ยึดหรืออายัดยาเสพติด หรือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด - สอบสวนผู้ต้องหาในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด - ตรวจหรือทดสอบหรือสั่งให้รับการตรวจหรือทดสอบว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้นมีสารเสพติดอยู่ในร่างกาย - ควบคุมตัวผู้ถูกจับกรณีกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด |
3. อุทธณณ์ และฎีกา |
- กำหนดให้จำเลยต้องมาแสดงตนต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นอุทธรณ์ ยื่นคำขออนุญาตฎีกา และยื่นฎีกา |
4. การบังคับโทษปรับ |
- ยกเลิกบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับทางปกครอง (นำไปกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายยาเสพติด) |
4. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติโอนหน้าที่และอำนาจ และกิจการบริหารบางส่วน ของกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปเป็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติโอนหน้าที่และอำนาจ และกิจการบริหารบางส่วน ของ กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปเป็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำ) รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี รับความ เห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้โอนบรรดาหน้าที่และอำนาจที่เกี่ยวกับราชการ การปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง และมติคณะรัฐมนตรี ในภารกิจด้านการประสานความร่วมมือกับต่างประเทศ ภารกิจการส่งเสริมและประสานมวลชน และภารกิจการประสานและบริหารจัดการลุ่มน้ำจากกรมทรัพยากรน้ำ และบรรดาหน้าที่และอำนาจของข้าราชการ และอัตรากำลังบางส่วนของกรมทรัพยากรน้ำ ดังต่อไปนี้ ไปเป็นหน้าที่และอำนาจของ สทนช. หรือของข้าราชการ และอัตรากำลังของ สทนช. แล้วแต่กรณี
1.1 สำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ เฉพาะงานที่เกี่ยวกับงานฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงและคณะกรรมการระหว่างประเทศของฝ่ายไทย และบางส่วนของงานติดต่อประสานงาน กำหนดท่าที เข้าร่วมเจรจาเตรียมการต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการความร่วมมือ โครงการเงินกู้ และโครงการความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ในภาพรวมของประเทศ
1.2 สำนักส่งเสริมและประสานมวลชน เฉพาะงานเกี่ยวกับงานส่งเสริมและสนับสนุน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำโดยใช้กลไกคณะกรรมการลุ่มน้ำ และงานจัดทำแผนปฏิบัติการของลุ่มน้ำ และบางส่วนของงานพัฒนาและให้ความรู้เพิ่มทักษะแก่บุคลากรด้านทรัพยากรน้ำ และด้านอื่น ๆ รวมทั้งรณรงค์ทำความเข้าใจให้แก่กรรมการลุ่มน้ำ บุคลากรของหน่วยงานของรัฐ องค์กรผู้ใช้น้ำ และประชาชนทั่วไป ทั้งในภาพรวมของประเทศและระดับลุ่มน้ำ
1.3 สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 1 – 10 เฉพาะงานเกี่ยวกับงานฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และงานจัดทำแผนปฏิบัติการบริหารจัดการของลุ่มน้ำ และบางส่วนของงานส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งองค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับลุ่มน้ำและท้องถิ่น โดยการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย งานพัฒนา เสริมสร้างขีดความสามารถ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรน้ำแก่ผู้มีส่วนได้เสีย งานพัฒนาระบบฐานข้อมูล และศูนย์เครือข่ายข้อมูลและสารสนเทศเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในระดับลุ่มน้ำ และงานส่งเสริม สนับสนุน และให้คำปรึกษาด้านเทคนิค มาตรฐานและกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแก่หน่วยงานของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
2. กำหนดให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน และให้โอนข้าราชการ และอัตรากำลังบางส่วนของกรมทรัพยากรน้ำตามข้อ 1. รวมทั้งสิ้น 178 อัตรา ดังต่อไปนี้ ไปเป็นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
2.1 สำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ เฉพาะส่วนงานคณะกรรมการลุ่มแม่น้ำโขงทุกอัตรา และบางส่วนของส่วนงานวิเทศสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศ และฝ่ายบริหารงานทั่วไป
2.2 สำนักส่งเสริมและประสานมวลชน เฉพาะส่วนส่งเสริมการจัดการลุ่มน้ำทุกอัตรา และบางส่วนของส่วนส่งเสริมและประสานมวลชน เฉพาะส่วนส่งเสริมและพัฒนา
2.3 สำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 1 – 10 เฉพาะบางส่วนของส่วนประสานและบริหารจัดการลุ่มน้ำ ส่วนวิชาการ และส่วนอำนวยการ
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ และ “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
2. กำหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ” ประกอบด้วยประธานกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกิน 7 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง และให้ผู้อำนวยการเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง และให้ผู้อำนวยการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการได้ตามความจำเป็น
3. กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการและการดำเนินการของสถาบัน เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ อำนาจหน้าที่เช่นว่านี้ ให้รวมถึงการกำหนดนโยบายการบริหารงานและให้ความเห็นชอบแผนการดำเนินงานของสถาบัน อนุมัติงบประมาณประจำปี งบการเงิน และแผนการลงทุนของสถาบัน และออกระเบียบข้อบังคับ ข้อกำหนด หรือประกาศเกี่ยวกับสถาบัน
4. กำหนดให้การควบคุมดูแลการดำเนินงานของสถาบันให้คณะกรรมการพิจารณากำหนด แนวทางการปฏิบัติงานของสถาบันให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ซึ่งต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจ ความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจ ความซื่อสัตย์สุจริต การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การกระจายอำนาจการตัดสินใจ การอำนวยความสะดวก และการตอบสนองความต้องการของประชาชน
5. กำหนดให้การแต่งตั้งผู้อำนวยการต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่มีเหตุ ต้องแต่งตั้งผู้อำนวยการ และหากมีเหตุผลจำเป็นให้คณะกรรมการขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกิน 60 วัน หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้คณะกรรมการรายงานผลให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา โดยผู้อำนวยการต้องมีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์เหมาะสมกับกิจการของสถาบัน ตามที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของสถาบัน สามารถทำงานให้แก่สถาบันได้เต็มเวลา รวมทั้งต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน
6. กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินกิจการของสถาบันให้เป็นไปตามกฎหมายและให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสถาบันยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายของรัฐบาล มติของคณะรัฐมนตรี และแผนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน เพื่อการนี้ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้สถาบันชี้แจง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำของสถาบันที่ขัดต่อกฎหมาย วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสถาบัน ยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายของรัฐบาล มติของคณะรัฐมนตรี หรือแผนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ตลอดจนสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการของสถาบันได้
7. บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2551 และใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ ให้ใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ จนกว่าจะมีระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกำหนด ประกาศ หรือคำสั่งที่ออกตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ ต้องไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระจกฉนวน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระจกฉนวน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
อก. เสนอว่า
1. โดยที่พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 17 บัญญัติให้เพื่อความปลอดภัย หรือเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดแก่ประชาชนหรือกิจการอุตสาหกรรม หรือเศรษฐกิจของประเทศ คณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอาจเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อออกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมชนิดใดต้องเป็นไปตามมาตรฐานทั้งหมดหรือบางส่วนของมาตรฐานก็ได้ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบของกฎหมายในการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จากการตราเป็น “พระราชกฤษฎีกา” เป็นการออก “กฎกระทรวง”
2. อก. ได้จัดทำประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5521 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง แก้ไขประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5068 (พ.ศ. 2561) ลงวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561 เรื่อง ยกเลิกและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระจกฉนวน โดยปรับปรุงถ้อยคำ “ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่พระราชกฤษฎีกา ... ใช้บังคับ” เป็น “ทั้งนี้ ให้มีผลเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป”
3. อก. ได้พิจารณาความเหมาะสมของการเสนอร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ และเห็นด้วยกับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยการออกเป็นกฎกระทรวง แทนการตราเป็นพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระจกฉนวน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระจกฉนวน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระจกฉนวน ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เลขที่ มอก. 1231 – 2560
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมท่อพีวีซีแข็งสำหรับใช้เป็นท่อน้ำดื่ม ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมท่อพีวีซีแข็งสำหรับใช้เป็นท่อน้ำดื่ม ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 17 – 2561 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5506 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกและกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมท่อพีวีซีแข็งสำหรับใช้เป็นท่อน้ำดื่ม ลงวันที่ 30 กันยายน 2562
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเคเบิลเส้นใยนำแสงโทรคมนาคมภายนอกอาคารติดตั้งในท่อร้อยสายและฝังดินโดยตรง ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเคเบิลเส้นใยนำแสง เล่ม 3 (10) : เคเบิลภายนอกอาคาร – ข้อกำหนดคุณลักษณะเป็นรายกลุ่ม สำหรับเคเบิลเส้นใยนำแสงโทรคมนาคมชนิดติดตั้งในท่อร้อยสายฝังดินโดยตรงและแขวนในอากาศโดยใช้ลวดพัน ต้องเป็นไปตามมาตฐานเลขที่ มอก. 2165 – 2561 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5201 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเคเบิลเส้นใยนำแสง เล่ม 3 – 10 : เคเบิลภายนอกอาคาร – ข้อกำหนดคุณลักษณะเป็นรายกลุ่ม สำหรับเคเบิลเส้นใยนำแสงโทรคมนาคม ติดตั้งในท่อร้อยสายฝังดินโดยตรง และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเคเบิลเส้นใยนำแสง เล่ม 3 (10) : เคเบิลภายนอกอาคาร – ข้อกำหนดคุณลักษณะเป็นรายกลุ่มสำหรับเคเบิลเส้นใยนำแสงโทรคมนาคมชนิดติดตั้งในท่อร้อยสายฝังดินโดยตรงและแขวนในอากาศโดยใช้ลวดพัน ประกาศ ณ วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562 และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5502 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง แก้ไขประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5201 (พ.ศ. 2561) ลงวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเคเบิลเส้นใยนำแสง เล่ม 3 – 10 : เคเบิลภายนอกอาคาร – ข้อกำหนดคุณลักษณะเป็นรายกลุ่ม สำหรับเคเบิลเส้นใยนำแสงโทรคมนาคม ติดตั้งในท่อร้อยสายฝังดินโดยตรง และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เคเบิลเส้นใยนำแสง เล่ม 3 (10) : เคเบิลภายนอกอาคาร – ข้อกำหนดคุณลักษณะเป็นรายกลุ่ม สำหรับเคเบิลเส้นใยนำแสงโทรคมนาคมชนิดติดตั้งในท่อร้อยสายฝังดินโดยตรงและแขวนในอากาศโดยใช้ลวดพัน ประกาศ ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562
8. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สขค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สขค. เสนอว่า
1. สขค. เป็นหน่วยงานของรัฐมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เป็นส่วนราชการและไม่เป็นรัฐวิสาหกิจมีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560
2. โดยที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้น โดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานอื่นของรัฐที่พระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย
3. ดังนั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของ สขค. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จึงจำเป็นต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ สขค. เป็นหน่วยงานของรัฐ
จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดให้ สขค. เป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของ สขค. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
9. เรื่อง ขอทบทวนวันใช้บังคับกฎหมายตามร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอทบทวนวันใช้บังคับกฎหมายตามร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน พ.ศ. .... ตามร่างข้อ 2 จาก “...เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” เป็น “...เมื่อพ้นกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป”
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์เสนอขอทบทวนวันใช้บังคับกฎหมายตามร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน พ.ศ. .... ตามร่างข้อ 2 จาก “...เมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” เป็น “...เมื่อพ้นกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะลักของน้ำมันปาล์มเข้ามาในประเทศจากการลักลอบนำเข้าและนำผ่านน้ำมันปาล์มฯ โดยเร่งด่วน เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ราคาผลผลิตจากปาล์มน้ำมันภายในประเทศมีการปรับตัวสูงขึ้น เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มภายในประเทศ
เศรษฐกิจ - สังคม
10. เรื่อง โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,776 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน 1,332 ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน 444 ล้านบาท
2. เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน 1,332 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. ทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ
3. ให้ผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535 เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ ในการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยให้ กฟภ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
สาระสำคัญของเรื่อง
มท. รายงานว่า
1. คณะกรรมการ กฟภ. ในการประชุม ครั้งที่ 11/2556 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 ให้ความเห็นชอบโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุน 1,776 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ภายในประเทศจำนวน 1,332 ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน 444 ล้านบาท และเห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน 1,332 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการ โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการ กู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ
2. กฟภ. ได้จัดทำรายงานการศึกษาความเหมาะสมโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งสรุปสาระสำคัญของโครงการได้ ดังนี้
2.1 วัตถุประสงค์
2.1.1 พัฒนาระบบไฟฟ้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง
2.1.2 เพื่อลดปัญหาในการปฏิบัติการและบำรุงรักษา ลดหน่วยสูญเสียในระบบจำหน่าย
2.2 เป้าหมายและพื้นที่ดำเนินการ ก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำระบบ 33 เควี ขนาด 300 ตารางมิลลิเมตร ไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2.3 ปริมาณงาน
2.3.1 ก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ ระบบ 33 เควี จากเกาะพะงันไปยังเกาะเต่า จำนวน 1 วงจร ขนาด 300 ตารางมิลลิเมตร ระยะทางประมาณ 45 วงจร – กิโลเมตร
2.3.2 ก่อสร้างระบบจำหน่าย ระยะทางประมาณ 21 วงจร – กิโลเมตร
2.3.3 ติดตั้งอุปกรณ์ยกระดับแรงดัน (AVR) จำนวน 2 ชุด
2.4 ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี (2564 - 2566)
2.5 แผนการดำเนินงาน ตามแผนงานโครงการจะดำเนินการระหว่างปี 2564 – 2566 โดยปีแรกจะเป็นการเตรียมดำเนินการ ส่วนปีหลังจะเป็นการดำเนินการก่อสร้างและประเมินผล
2.6 ผลตอบแทนของโครงการ
ผลตอบแทน |
อัตราผลตอบแทน (IRR) (ร้อยละ) |
มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ล้านบาท |
อัตราส่วนระหว่างผลตอบแทนต่อค่าใช้จ่าย (B/C Ratio) |
ทางการเงิน (Financial Internal Rate of Return: FIRR) |
-5.30 |
-2,053 |
0.65 |
ทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Internal Rate of Return: EIRR) |
36.59 |
6,294 |
2.22 |
2.7 เงินลงทุน จำนวน 1,776 ล้านบาท ประกอบด้วย
หน่วย : ล้านบาท
รายละเอียด |
ปริมาณงาน |
เงินลงทุน |
สายเคเบิลใต้น้ำ 33 เควี ขนาด 300 ตารางมิลลิเมตร |
45 วงจร – กิโลเมตร |
1,686 |
ก่อสร้างระบบจำหน่าย |
21 วงจร – กิโลเมตร |
38 |
อุปกรณ์ยกระดับแรงดัน |
2 ชุด |
52 |
รวมทั้งสิ้น |
|
1,776 |
2.8 แหล่งเงินทุน
หน่วย : ล้านบาท
แหล่งเงิน |
วงเงิน |
- เงินกู้ในประเทศ (ร้อยละ 75) |
1,332 |
- เงินรายได้ กฟภ. (ร้อยละ 25) |
444 |
รวม |
1,776 |
2.9 แผนการใช้เงินรายปี
หน่วย : ล้านบาท
ปี |
เงินกู้ในประเทศ |
เงินรายได้ กฟภ. |
รวม |
2564 |
133 |
45 |
178 |
2565 |
1,066 |
354 |
1,420 |
2566 |
133 |
45 |
178 |
รวม |
1,332 |
444 |
1,776 |
หมายเหตุ โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี เดิมมีระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี (2558 - 2560) แต่เนื่องจากการดำเนินการขอความเห็นชอบโครงการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความล่าช้าจากกรอบระยะเวลาดำเนินการ กฟภ. จึงขอปรับช่วงระยะเวลาดำเนินการใหม่ให้สอดคล้องกับปัจจุบันเป็น 3 ปี (2564 – 2566) โดยยังคงมีผลประโยชน์ และผลตอบแทนในการดำเนินโครงการตามรายงานการศึกษาความเหมาะสมของโครงการ
11. เรื่อง การจัดกลุ่มองค์การมหาชน กรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอดังนี้
1. เห็นชอบปรับกลุ่มสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จากเดิมองค์การมหาชนกลุ่มที่ 3 บริการสาธารณะทั่วไป เป็นองค์การมหาชนกลุ่มที่ 1 พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐเฉพาะด้าน
2. รับทราบแนวทางการทบทวนหลักเกณฑ์การประเมินค่างานและการจัดกลุ่มองค์การมหาชน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนฯ หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมฯ และการพัฒนาการดำเนินงานและประเมินผลองค์การมหาชน) ของสำนักงาน ก.พ.ร. ซึ่งจะเพิ่มเติมมิติด้านผลกระทบ (impact) ที่เกิดจากการดำเนินงานขององค์การมหาชนไว้ด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานว่า
1. สปสช. เสนอขอปรับกลุ่มองค์การมหาชน จากเดิมองค์การมหาชนกลุ่มที่ 3 บริการสาธารณะทั่วไป เป็นองค์การมหาชนกลุ่มที่ 1 พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐเฉพาะด้าน เนื่องจากบทบาทภารกิจมีความซับซ้อน หลากหลาย และขยายขอบเขตกว้างขวางขึ้นจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงของระบบหลักประกันสุขภาพทั้งในระดับประเทศและระดับโลก รวมทั้งต้องเชื่อมโยงกับระบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ภาระงานและความรับผิดชอบมีขอบเขตกว้างขวางกว่าการบริหารเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนด ตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ 2545
2. กพม. ได้อาศัยอำนาจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 พิจารณาการขอปรับกลุ่มองค์การมหาชนของ สปสช. จากองค์การมหาชนกลุ่มที่ 3 บริการสาธารณะทั่วไป เป็นองค์การมหาชนกลุ่มที่ 1 พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐเฉพาะด้าน โดยมีแนวทางในการพิจารณาสรุปได้ ดังนี้
2.1 หลักเกณฑ์การประเมินค่างานเพื่อจัดกลุ่มองค์การมหาชนเพื่อให้ผู้อำนวยการได้รับเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นตามช่วงอัตราค่าตอบแทนตามการจัดกลุ่มองค์การมหาชน และคณะกรรมการองค์การมหาชนได้รับค่าเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นตามการจัดกลุ่มขององค์การมหาชนเช่นเดียวกัน โดยพิจารณาจากองค์ประกอบสำคัญ 3 มิติ ดังนี้
2.1.1 มิติด้านความรับผิดชอบในการบริหารงาน
เป็นการประเมินในแง่ของลักษณะภารกิจที่ต่างกันในด้านผลกระทบที่จะเกิดจากการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน โดยพิจารณาจากเทคนิคหรือเทคโนโลยีที่ใช้ความหลากหลายของผู้รับบริการ ขอบเขตความครอบคลุมของการให้บริการ ตลอดจนผลกระทบที่มีต่อส่วนรวมขององค์การมหาชนนั้น ๆ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยส่วนรวม
2.1.2 มิติด้านประสบการณ์ของผู้อำนวยการ
เป็นการประเมินในแง่ความรู้ความสามารถของผู้อำนวยการที่ต้องการในการบริหารองค์การมหาชน ทั้งความรู้ทางวิชาการ ความสามารถ ทักษะ และประสบการณ์ที่จำเป็นต่อการบริหารองค์การมหาชน ตลอดจนสภาพแวดล้อม ที่ต้องใช้ทักษะการติดต่อสื่อสารในการบริหารองค์การมหาชน
2.1.3 มิติด้านสถานการณ์
เป็นการประเมินในแง่ความสำคัญของภารกิจและวัตถุประสงค์ขององค์การมหาชนที่มีต่อความสำเร็จตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดผลในระยะสั้นหรือจำกัด รวมถึงความจำเป็นในแต่ละช่วงที่อาจจะต้องการผู้อำนวยการที่มีคุณสมบัติความรู้ความสามารถและประสบการณ์เฉพาะด้านที่แตกต่างกัน
2.2 การจัดกลุ่มขององค์การมหาชน
จากการประเมินค่างานที่พิจารณาจากองค์ประกอบสำคัญ 3 มิติข้างต้น (ตามข้อ 2.1) สามารถจัดกลุ่มขององค์การมหาชน ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มขององค์การมหาชน |
รายละเอียด |
กลุ่มที่ 1 พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐเฉพาะด้าน อัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการ 6,000 – 20,000 บาท อัตราเงินเดือนของผู้อำนวยการ 100,000 – 300,000 บาท |
องค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญเฉพาะด้านของรัฐให้เกิดผลในทางปฏิบัติภายในระยะเวลาจำกัด ซึ่งต้องการผู้บริหารที่มีความสามารถสูงในการบริหารงานเชิงยุทธศาสตร์ การบริหารเครือข่ายหรือการบริหารองค์กรที่มีสาขาทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ทั้งนี้ องค์การมหาชนที่จะถูกจัดลงในกลุ่มที่ 1 ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี |
กลุ่มที่ 2 บริการที่ใช้เทคนิควิชาการเฉพาะด้านหรือสหวิทยาการ อัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการ 6,000 – 16,000 บาท อัตราเงินเดือนของผู้อำนวยการ 100,000 – 250,000 บาท |
องค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการที่ใช้วิชาชีพระดับสูง ซับซ้อน หรือเป็นงานศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีเป้าหมายในการริเริ่มหรือสร้างนวัตกรรมที่จำเป็นต้องใช้ผู้มีความรู้ความสามารถเฉพาะและความสามารถในการบริหารองค์กรที่มีกิจกรรมหลากหลาย มีขอบเขตการทำงานครอบคลุมในระดับประเทศหรือต้องดำเนินกิจกรรมเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์โดยการร่วมมือกับต่างประเทศ |
กลุ่มที่ 3 บริการสาธารณะทั่วไป อัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการ 6,000 – 12,000 บาท อัตราเงินเดือนของผู้อำนวยการ 100,000 – 200,000 บาท |
องค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ดำเนินงานศึกษาวิจัยทั่วไปหรืองานบริการทั่วไปหรืองานปกติประจำ หรืองานให้บริการแก่กลุ่มลูกค้า/ผู้รับบริการเฉพาะครอบคลุมในขอบเขตจำกัด ใช้ผู้มีความรู้ความสามารถในการบริหารองค์กรขนาดเล็กที่มีธุรกรรมไม่หลากหลาย |
3. ขอบเขตภารกิจของ สปสช.
ช่วงเวลา |
ขอบเขตภารกิจ |
ระยะที่ 1 ช่วงก่อร่างสร้างระบบ (ปี พ.ศ 2545 – 2550) |
- เริ่มก่อตั้งองค์กร จัดระบบและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ - ขับเคลื่อนงานตามภารกิจ โดยมีขอบเขตการดำเนินงานหลัก คือ 1) ขยายความครอบคลุมหลักประกันให้ประชาชนผู้มีสิทธิ 2) ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจกับภาคีทุกภาคส่วน 3) สนับสนุน พัฒนาความเข้มแข็งของระบบบริการ เช่น บริการปฐมภูมิ เป็นต้น |
ระยะที่ 2 ช่วงการพัฒนา (ปี พ.ศ 2551 – 2555) |
- ต่อยอดการดำเนินงาน - ขับเคลื่อนการบริหารงบประมาณ/จัดการกองทุนอย่างมีส่วนร่วม - พัฒนาระบบบริหารจัดการภายในองค์กร - ขยายการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย - พัฒนาการสื่อสารเพื่อการรับรู้สิทธิ/การคุ้มครองสิทธิ |
ระยะที่ 3 ช่วงการขับเคลื่อนนโยบายบูรณาการความร่วมมือในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ (ปี พ.ศ. 2556 - 2560) |
- ออกแบบการบริหารกองทุนรูปแบบใหม่ ๆ และการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่าย - ขับเคลื่อนการบูรณาการ 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กองทุนประกันสังคม และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ - ทำหน้าที่อื่นที่ได้รับมอบหมาย เช่น หน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลกองทุนสุขภาพภาครัฐและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Cleaning House : NCH) หน่วยงานกลางในการบริหารจัดการทะเบียนสิทธิรักษาพยาบาลของประชาชน (National Beneficiary Registration Center) ร่วมพัฒนาระบบการเข้าถึงยาที่มีปัญหา การเข้าถึงกลุ่มยากำพร้าและยาต้านพิษที่มีอัตราการใช้ต่ำและไม่แน่นอน - เพิ่มกลไกการมีส่วนร่วมในพื้นที่ร่วมกับภาคีต่าง ๆ เช่น คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) - สร้างความเป็นเจ้าของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติผ่านกลไก/มาตรการต่าง ๆ |
ระยะที่ 4 พัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ (ปี พ.ศ. 2561 - 2565) |
- ขับเคลื่อน Commitment และ Accountability ของ สปสช. และกลไกคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และภาคียุทธศาสตร์ทั้งส่วนกลางและพื้นที่ - ปรับรูปแบบการบริหารกองทุนและการจ่ายชดเชยค่าบริการเพื่อตอบสนอง Health need และการเข้าถึงบริการอย่างมีคุณภาพของประชาชน - นำ Digital technology มาใช้ปรับปรุงการเข้าถึงบริการ - วางรากฐานการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้านหลักประกันสุขภาพของไทย - ขับเคลื่อนงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยในเวทีประชาคมโลกโดยร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข |
ทิศทางการดำเนินงานในระยะต่อไป |
- จัดหาบริการให้เพียงพอ และผู้มีสิทธิได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน - เพิ่มประสิทธิผลของความครอบคลุมบริการ - ออกแบบการบริหารกองทุนเพื่อรองรับการขยายสิทธิประโยชน์จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของการเกิดโรค การเจ็บป่วยโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ โรคหายาก และโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่ส่งผลให้ครัวเรือนล้มละลาย รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีความก้าวหน้าและราคาแพง - การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุน และจัดการธุรกรรมการเบิกจ่าย - พัฒนาศักยภาพและความเข้มแข็งของการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น/พื้นที่ (ตำบล/จังหวัด) - การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพิ่มขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการของประชาชน รวมถึงการจัดการและใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ -เพิ่มความเสมอภาคด้านหลักประกันสุขภาพ ขยายความร่วมมือกับหน่วยงานประกันสุขภาพภาครัฐต่าง ๆ รวมทั้งขยายการดูแลเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น กลุ่มเปราะบาง กลุ่มด้อยโอกาส และผู้มีสิทธิระบบอื่น ๆ เช่น รัฐวิสาหกิจ - แสวงหาแหล่งเงินใหม่เข้าสู่ระบบ - เพิ่มความเข้าใจและร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อความยั่งยืนของระบบ - ร่วมขับเคลื่อนบทบาทไทยในเวทีโลกด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลและทิศทางระบบสุขภาพโลกและการบรรลุเป้าหมาย SDGs ในการผลักดันเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า |
12. เรื่อง ขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัช รวมถึงส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน – ปากเกร็ด (ทางพิเศษอุดรรัถยา) รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ การแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัช รวมถึงส่วนดี) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน – ปากเกร็ด (ทางพิเศษอุดรรัถยา) รวม 2 ฉบับ ตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 มาตรา 47 ประกอบพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 มาตรา 68 (3) และเห็นชอบให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) หารือกับ คค. และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เพื่อหาแนวทางบริหารจัดการที่เหมาะสมมิให้ส่งผลต่อการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ในกรณีที่ผลการดำเนินงานจากวิธีการทางบัญชีส่งผลต่อการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ อย่างไรก็ดี เนื่องจากเรื่องนี้เป็นกรณีที่มีทุนทรัพย์ในข้อพิพาทเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก และเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน ประกอบกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ดังนั้น จึงให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ไปดำเนินการตรวจสอบอีกทางหนึ่ง
13. เรื่อง มาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา (คณะกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา เสนอดังนี้
1. รับทราบมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา
2. รับทราบการดำเนินงานตามมาตรการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
3. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ฯ โดยให้ทุกหน่วยงานรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการฯ ทราบทุกสัปดาห์ จนกว่าจะดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแล้วเสร็จ
สาระสำคัญของเรื่อง
โดยที่คณะกรรมการฯ ได้มีการประชุม ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 เพื่อพิจารณารวบรวมข้อมูล และการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 2563 โดยสรุปได้ดังนี้
1. ข้อมูลพื้นฐานผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์
1.1 ผู้เสียชีวิต จำนวน 29 ราย (ไม่รวมผู้ก่อเหตุ 1 ราย)
จำแนกเป็น
เพศ |
อายุ |
อาชีพ |
การให้ความช่วยเหลือ |
- ชาย 20 ราย - หญิง 9 ราย |
- ต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 2 ราย - อายุ 15-29 ปี จำนวน 4 ราย - อายุ 30-59 ปี จำนวน 22 ราย - อายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 1 ราย |
- ตำรวจ 3 ราย - ทหาร 3 ราย - ข้าราชการครู 1 ราย - ลูกจ้างหน่วยงานของรัฐ 2 ราย - ประชาชน 20 ราย (มีเด็กและเยาวชน 3 ราย) |
- พิจารณาให้ความช่วยเหลือ 27 ราย - สำหรับ 2 ราย ที่เป็นคู่กรณีผู้ก่อเหตุ อยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริงก่อน |
หมายเหตุ : ผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ 7 ราย (ตำรวจ 3 ราย ทหาร 1 ราย ตำรวจอาสา 1 ราย และประชาชน (พลเมืองดี) 2 ราย) |
1.2 ผู้บาดเจ็บ จำนวน 57 ราย (ไม่รวมคู่กรณีผู้ก่อเหตุ 1 ราย)
จำแนกเป็น
เพศ |
อายุ |
อาชีพ |
- ชาย 33 ราย - หญิง 24 ราย |
- ต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 6 ราย - อายุ 15-29 ปี จำนวน 20 ราย - อายุ 30-59 ปี จำนวน 29 ราย - อายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 2 ราย |
- ตำรวจ 8 ราย - ทหาร 3 ราย - ข้าราชการครู 1 ราย - ประชาชน 46 ราย (มีเด็กและเยาวชน 6 ราย) |
2. มาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา
มาตรการช่วยเหลือเยียวยา |
รายละเอียด |
1. ด้านการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บตามสิทธิประโยชน์ทางกฎหมาย และความช่วยเหลืออื่น ๆ |
1.1 เจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ (1) เงินช่วยเหลือตามกฎหมายจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) สำนักนายกรัฐมนตรี (นร.) สถาบันการเงิน และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (2) เงินช่วยเหลือตามสิทธิประโยชน์ข้าราชการส่วนบุคคล (3) เงินช่วยเหลือจากสวัสดิการของหน่วยงานต้นสังกัดและเงินบริจาคผ่านจังหวัดนครราชสีมา (4) การช่วยเหลืออื่นจากสถาบันการเงิน และบริษัทประกันภัย ฯลฯ 1.2 ประชาชนทั่วไป (1) เงินช่วยเหลือตามกฎหมายจากส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ พม. ยธ. นร. กระทรวงการคลัง (กค.) และสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล (2) เงินช่วยเหลือตามสิทธิประโยชน์ส่วนบุคคุล (3) เงินช่วยเหลือจากเงินบริจาคผ่านจังหวัดนครราชสีมา (4) การช่วยเหลืออื่นจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย ฯลฯ |
2. ด้านการจ่ายเงินช่วยเหลือกรณีทรัพย์สินเสียหาย |
2.1 ส่วนราชการ : หน่วยงานเจ้าของทรัพย์สินดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้อง 2.2 ประชาชนทั่วไป : จังหวัดนครราชสีมาอยู่ระหว่างสำรวจความเสียหายของยานพาหนะ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป 2.3 ผู้ประกอบการ (1) ศูนย์การค้า Terminal 21: จังหวัดนครราชสีมาอยู่ระหว่างสำรวจความเสียหายและอยู่ระหว่างขั้นตอนการขอรับสินไหมทดแทนจากการประกันภัยทรัพย์สินและประกันภัยกรณีธุรกิจหยุดชะงัก (2) ร้านค้าย่อย : จังหวัดนครราชสีมาอยู่ระหว่างสำรวจความเสียหายของทรัพย์สินเพื่อขอรับการช่วยเหลือต่อไป
|
3. ด้านสาธารณสุข |
3.1 การรักษาพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้กับผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทั้งหมด รวมทั้งดูแลด้านสุขภาพผู้บาดเจ็บในระยะต่อไป 3.2 การฟื้นฟูสุขภาพจิต สธ. โดยกรมสุขภาพจิตได้จัดทีม MCATT ลงพื้นที่สำรวจและประเมินสภาวะสุขภาพจิตระหว่างวันที่ 8-13 กุมภาพันธ์ 2563 รวม 2,093 คน จำแนกผลการประเมินได้ ดังนี้ (1) กลุ่มญาติผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ญาติผู้บาดเจ็บ และตัวประกัน เข้ารับการประเมินจำนวน 310 คน พบเป็นผู้มีภาวะเครียดต้องติดตามต่อเนื่อง 118 คน (ร้อยละ 38.06) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดปฏิกิริยาทางจิตใจที่มีความรุนแรงได้ในระยะยาว ได้ให้การบำบัดโดยการทำกิจกรรมคลายเครียดและระบายความรู้สึก (2) กลุ่มผู้อยู่ในเหตุการณ์ ผู้เห็นเหตุการณ์ ผู้ที่ติดค้างในสถานที่เกิดเหตุ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ เข้ารับการประเมินจำนวน 699 คน พบเป็นผู้มีภาวะเครียดต้องติดตามต่อเนื่อง 114 คน (ร้อยละ 16.31) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดปฏิกิริยาทางจิตใจที่มีความรุนแรงได้ในระยะยาว ได้ให้การบำบัดโดยการทำกิจกรรมคลายเครียดและระบายความรู้สึก (3) ประชาชนทั่วไปผู้ได้รับข้อมูลข่าวสารความรุนแรงฯ เข้ารับการประเมินจำนวน 1,084 คน พบเป็นผู้มีภาวะเครียดต้องติดตามต่อเนื่อง 42 คน (ร้อยละ 3.87) ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตจะได้ดำเนินโครงการ Strong Korat เพื่อติดตามดูแลกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการติดตามพฤติกรรมของเด็กเล็กที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ซึ่งอาจมีพฤติกรรมถดถอยในระยะยาว 3.3 การฟื้นฟูคุณภาพชีวิต พม. ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง และสอบถามความต้องการความช่วยเหลือเพื่อประเมินสภาพปัญหาและพิจารณาช่วยเหลือเงินสงเคราะห์ครอบครัว การฝึกอาชีพ การกู้ยืมเพื่อการประกอบอาชีพ และสิ่งของจำเป็น/เครื่องอุปโภคบริโภค ในการดำรงชีพ |
4. ด้านการสนับสนุนอื่น ๆ |
4.1 การกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัด (1) พณ. จัดกิจกรรมออกบูธให้คำปรึกษาแนะนำด้านการจัดทำบัญชีและการวางแผนทางภาษี และร่วมกับสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรให้คำปรึกษาด้านการเงิน รวมทั้งการให้เงินกู้ดอกเบี้ยพิเศษเพื่อฟื้นฟูกิจการ ในระหว่างวันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ศูนย์การค้า Terminal 21 (2) พณ. ขยายเวลาการนำส่งงบการเงินให้นิติบุคคลที่มีสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ในจังหวัดนครราชสีมา เป็นระยะเวลา 2 เดือน นับแต่วันที่ครบระยะเวลาตามกฎหมาย (3) พณ. กระตุ้นการใช้จ่ายและเพิ่มยอดขายให้ผู้ประกอบการในจังหวัดนครราชสีมาในระยะยาว ขอให้หน่วยงานเชิญชวนให้มีการจัดกิจกรรมในพื้นที่เพิ่มขึ้น เช่น การประชุมสัมมนา การจัดงานจำหน่ายสินค้า และการแข่งขันกีฬา ฯลฯ 4.2 การสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชนในจังหวัด : จัดกิจกรรมจิตอาสา Big Cleaning Day และกิจกรรมทำบุญของจังหวัด ฯลฯ
|
5. ด้านการอำนวยการ ติดตามผล และประชาสัมพันธ์ |
5.1 การอำนวยการและติดตามผลการดำเนินงาน (1) จังหวัดนครราชสีมาเป็นหน่วยประสานการขอรับความช่วยเหลือภาพรวมในพื้นที่ (2) หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือมอบหมายผู้บริหารระดับสูงกำกับติดตามและเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือในส่วนที่รับผิดชอบ (3) สำนักนายกรัฐมนตรีมอบหมายผู้ตรวจการสำนักนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ประสานติดตามและเร่งรัดการช่วยเหลือรวมทั้งรับเรื่องราวร้องทุกข์เพื่อประสานการช่วยเหลือต่อไป 5.2 การประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการประชาสัมพันธ์ผลการช่วยเหลือในภาพรวมให้กับสาธารณชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง และประสานการประชาสัมพันธ์ไปยังสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ |
3. ข้อเสนอแนะเพื่อพิจารณาเพิ่มเติมตามมติคณะกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา
3.1 การผ่อนปรนด้านภาษีสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ (หน่วยงานที่รับผิดชอบ : กค.)
3.2 การช่วยเหลือด้านทุนการศึกษาแก่บุตรของผู้เสียชีวิตหรือผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุการณ์ (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก : ศธ. พม.)
3.3 การป้องกันการเกิดพฤติกรรมเลียนแบบที่ใช้ความรุนแรง รวมทั้งการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน (หน่วยงานที่รับผิดชอบ : พม. ศธ. สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง)
3.4 การนำเสนอข่าวเหตุการณ์ที่มีการใช้ความรุนแรง ควรมีแนวทางควบคุมการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัด โดยควรให้นำเสนอข่าวเชิงสร้างสรรค์ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบทางลบด้านจิตใจของผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และประชาชนทั่วไป (หน่วยงานที่รับผิดชอบ : สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกรมประชาสัมพันธ์)
14. เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2562 ทั้งปี 2563 และแนวโน้มปี 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2562 ทั้งปี 2562 และแนวโน้มปี 2563 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอดังนี้
1. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2562
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 1.6 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.6 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YOY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2562 ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี 2562 ร้อยละ 0.2 (%QoQ SA) รวมทั้งปี 2562 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.4 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 4.2 ในปี 2561
การชะลอตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสนี้มีปัจจัยสำคัญมาจาก (1) การขยายตัวในเกณฑ์ที่ต่ำของเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนของทิศทางมาตรการกีดกันทางการค้า และการแข็งค่าของเงินบาท (2) ความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณ และ (3) ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และปัจจัยชั่วคราว ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมบางรายการ
1.1 ด้านการใช้จ่าย มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของการบริโภคภาคเอกชน และการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน ในขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกสินค้าปรับตัวลดลง การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวในเกณฑ์ดีร้อยละ 4.1 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 4.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ มาตรการของภาครัฐ และการเร่งตัวขึ้นของรายจ่ายของคนไทยในต่างประเทศ การขยายตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในไตรมาสนี้ สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของเครื่องชี้ด้านการใช้จ่ายสำคัญ ๆ โดยเฉพาะดัชนีภาษีมูลค่าเพิ่มหมวดโรงแรมและภัตตาคาร ดัชนีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และน้ำมันดีเซล และปริมาณการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือนซึ่งขยายตัวร้อยละ 6.3 ร้อยละ 3.4 และร้อยละ 3.1 ตามลำดับ ในขณะที่ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ปรับตัวลดลงร้อยละ 16.4 และร้อยละ 17.2 ตามลำดับ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 56.8 เทียบกับระดับ 60.8 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลปรับตัวลดลงร้อยละ 0.9 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 1.7 ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 22.8 (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 29.8 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) การลงทุนรวม ขยายตัวร้อยละ 0.9 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.7 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 2.6 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลงทุนในสิ่งก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 3.1 และการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรขยายตัวร้อยละ 2.5 ขณะที่การลงทุนภาครัฐปรับตัวลดลงร้อยละ 5.1 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 โดยการลงทุนของรัฐบาลปรับตัวลดลงร้อยละ 16.7 ขณะที่การลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัวร้อยละ 13.1 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 4.0 เทียบกับอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 21.6 ในไตรมาสก่อนหน้าและร้อยละ 13.7 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
1.2 ด้านภาคต่างประเทศ
ประเทศ |
การส่งออก (%YoY) |
GDP (%YoY) |
|||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2561 |
2562 |
2561 |
2562 |
ต่ำสุดในรอบ |
|||||||||
ทั้งปี |
ทั้งปี |
ไตรมาส 1 |
ไตรมาส 2 |
ไตรมาส 3 |
ไตรมาส 4 |
ทั้งปี |
ทั้งปี |
ไตรมาส 1 |
ไตรมาส 2 |
ไตรมาส 3 |
ไตรมาส 4 |
||
สหรัฐฯ |
7.8 |
-1.3 |
1.3 |
-3.1 |
-1.7 |
-1.4 |
2.9 |
2.3 |
2.7 |
2.3 |
2.1 |
2.3 |
- |
ยูโรโซน |
8.7 |
-2.6 |
-4.3 |
-3.7 |
-1.4 |
-1.0 |
1.9 |
1.2 |
1.4 |
1.2 |
1.2 |
0.9 |
ต่ำสุดในรอบ 24 ไตรมาส |
ญี่ปุ่น |
5.7 |
-4.4 |
-5.7 |
-6.2 |
-1.3 |
-4.4 |
0.3 |
- |
0.8 |
0.9 |
1.7 |
- |
- |
จีน |
9.9 |
0.5 |
1.4 |
-1.0 |
-0.3 |
1.9 |
6.7 |
6.1 |
6.4 |
6.2 |
6.0 |
6.0 |
- |
ฮ่องกง |
6.8 |
-4.1 |
-2.6 |
-4.6 |
-6.3 |
-2.6 |
3.1 |
-1.2 |
0.7 |
0.4 |
-2.8 |
-2.9 |
ต่ำสุดในรอบ 42 ไตรมาส |
อินเดีย |
8.5 |
0.2 |
6.7 |
-1.3 |
-3.8 |
-0.9 |
7.4 |
- |
5.8 |
5.0 |
4.5 |
- |
- |
อินโดนีเซีย |
6.6 |
-6.9 |
-8.2 |
-8.9 |
-6.9 |
-3.8 |
5.2 |
5.0 |
5.1 |
5.1 |
5.0 |
5.0 |
ต่ำสุดในรอบ 12 ไตรมาส |
เกาหลีใต้ |
5.4 |
-10.4 |
-8.5 |
-8.7 |
-12.3 |
-11.8 |
2.7 |
2.0 |
1.7 |
2.0 |
2.0 |
2.2 |
- |
มาเลเซีย |
14.2 |
-4.3 |
-5.2 |
-5.2 |
-3.5 |
-3.2 |
4.7 |
4.3 |
4.5 |
4.9 |
4.4 |
3.6 |
ต่ำสุดในรอบ 41 ไตรมาส |
ฟิลิปปินส์ |
0.9 |
1.5 |
-2.9 |
1.8 |
1.0 |
6.1 |
6.2 |
5.9 |
5.6 |
5.5 |
6.0 |
6.4 |
- |
สิงคโปร์ |
10.3 |
-5.2 |
-2.7 |
-6.6 |
-7.8 |
-3.5 |
3.2 |
0.7 |
1.1 |
0.2 |
0.7 |
0.8 |
- |
ไต้หวัน |
5.9 |
-1.4 |
-4.2 |
-2.7 |
-0.8 |
1.8 |
2.7 |
2.7 |
1.8 |
2.6 |
3.0 |
3.3 |
- |
ไทย |
7.5 |
-3.2 |
-3.8 |
-4.2 |
0.0 |
-4.9 |
4.2 |
2.4 |
2.9 |
2.4 |
2.6 |
1.6 |
ต่ำสุดในรอบ 21 ไตรมาส |
เวียดนาม |
13.3 |
8.4 |
5.2 |
9.0 |
10.7 |
8.5 |
7.1 |
7.0 |
6.8 |
6.7 |
7.5 |
7.0 |
ต่ำสุดในรอบ 2 ไตรมาส |
ที่มา: CEIC รวบรวมโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ |
1.3 ด้านการผลิต การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการอาหาร และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ขยายตัวเร่งขึ้น สาขาการขายส่งและการขายปลีกฯ ขยายตัวในเกณฑ์ดี ในขณะที่การผลิตสาขาอุตสาหกรรม สาขาเกษตรกรรม สาขาก่อสร้าง และสาขาไฟฟ้าฯ ปรับตัวลดลง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ลดลงร้อยละ 1.6 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.7 ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งและฝนทิ้งช่วง สอดคล้องกับการลดลงของดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรร้อยละ 1.5 โดยผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญที่ลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 3.2) อ้อย (ลดลงร้อยละ 21.2) ปาล์มน้ำมัน (ลดลงร้อยละ 15.2) และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ลดลงร้อยละ 4.9) เป็นต้น ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มไม้ผล (ร้อยละ 8.4) ยางพารา (ร้อยละ 2.4) และมันสำปะหลัง (ร้อยละ 10.9) เป็นต้น ด้านหมวดประมงและหมวดปศุสัตว์ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สองร้อยละ 13.7 และร้อยละ 0.7 ตามลำดับ ดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.8 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยสินค้าสำคัญที่ดัชนีราคาเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มไม้ผล (ร้อยละ 10.3) ราคาข้าวเปลือก (ร้อยละ 6.7) ราคาปาล์มน้ำมัน (ร้อยละ 39.8) และราคาอ้อย (ร้อยละ 1.0) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางรายการปรับตัวลดลง เช่น ราคามันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 23.6) ราคายางพารา (ลดลงร้อยละ 2.3) และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ลดลงร้อยละ 5.8) เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 สาขาการผลิตอุตสาหกรรม ปรับตัวลดลงร้อยละ 2.3 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 0.8 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนของมาตรการกีดกันทางการค้า และผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวในการผลิตอุตสาหกรรมสำคัญบางรายการ โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 – 60 ลดลงร้อยละ 16.0 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ลดลงร้อยละ 4.5 และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ลดลงร้อยละ 1.6 อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 63.4 ลดลงจากร้อยละ 65.0 ในไตรมาสก่อนหน้า และลดลงจากร้อยละ 69.3 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 21.4) การผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 15.2) และการผลิตน้ำตาล (ลดลงร้อยละ 22.1) เป็นต้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตเครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้งานทั่วไป (ร้อยละ 17.0) การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (ร้อยละ 7.3) และการต้ม การกลั่น และการผสมสุรา (ร้อยละ 31.7) เป็นต้น สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 6.8 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 6.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวในเกณฑ์สูงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยในไตรมาสนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 10.33 ล้านคน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.4 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 7.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว 0.79 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ประกอบด้วย (1) รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศมูลค่า 0.50 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ชะลอลงจากร้อยละ 5.8 ในไตรมาสก่อน โดยรายรับจากนักท่องเที่ยวจากประเทศสำคัญที่ยังขยายตัวสูง ประกอบด้วย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น รัสเซีย และไต้หวัน เป็นต้น และ (2) รายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย 0.29 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.8 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 3.0 ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 71.24 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 64.08 ในไตรมาสก่อนหน้า สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ขยายตัวร้อยละ 3.9 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.1 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของบริการขนส่งผู้โดยสาร เป็นสำคัญ โดยบริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียงขยายตัวร้อยละ 2.8 บริการขนส่งทางอากาศขยายตัวร้อยละ 5.1 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.9 ในไตรมาสก่อนหน้า และบริการขนส่งทางน้ำขยายตัวร้อยละ 4.2 ส่วนบริการสนับสนุนการขนส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 ในขณะที่บริการไปรษณีย์ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.8
1.4 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำร้อยละ 1.0 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.4 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 10.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (314.5 พันล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 7.2 ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 อยู่ที่ 224.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 มีมูลค่าทั้งสิ้น 6,954 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 41.2 ของ GDP
2.1 เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 2.4 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 4.2 ในปี 2561โดยในด้านการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 4.5 และร้อยละ 2.8 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 4.6 และร้อยละ 4.1 ในปี 2561 ตามลำดับ ส่วนการใช้จ่ายของรัฐบาล และการลงทุนภาครัฐ ขยายตัวร้อยละ 1.4 และร้อยละ 0.2 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.6 และร้อยละ 2.9 ในปี 2561 ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงร้อยละ 3.2 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 7.5 ในปี 2561 ในด้านการผลิต การผลิตสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง สาขาโรงแรมและภัตตาคาร สาขาการขายส่ง การขายปลีก และการซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวร้อยละ 0.1 ร้อยละ 5.5 ร้อยละ 5.7 และร้อยละ 3.4 ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ 5.5 ร้อยละ 7.6 ร้อยละ 6.6 และร้อยละ 4.4 ในปี 2561 ตามลำดับ ในขณะที่การผลิตสาขาอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 0.7 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.2 ในปี 2561 รวมทั้งปี 2562 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 16,879.0 พันล้านบาท (543.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 248,257.4 บาทต่อคนต่อปี (7,996.2 ดอลลาร์ สรอ. ต่อคนต่อปี) เพิ่มขึ้นจาก 241,269.6 บาทต่อคนต่อปี (7,467.1 ดอลลาร์ สรอ. ต่อคนต่อปี) ในปี 2561
2.2 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.7 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 6.8 ของ GDP
3. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2563
เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.5 - 2.5 ชะลอตัวลงจากปี 2562 ตามข้อจำกัดที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ปัญหาภัยแล้ง และความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายรัฐบาล แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) การปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจและการค้าโลกตามการลดลงของแรงกดดันจากมาตรการกีดกันทางการค้า และความเสี่ยงจากการแยกตัวของสหราชอาณาจักรแบบไร้ข้อตกลง (2) การขยายตัวในเกณฑ์ที่น่าพอใจของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การลงทุนภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐ (3) แรงขับเคลื่อนจากมาตรการภาครัฐ และ (4) ฐานการขยายตัวที่ต่ำในไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ 1.4 การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 3.5 และร้อยละ 3.6 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.4 – 1.4 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 5.3 ของ GDP โดยรายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2563 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้
3.2 การลงทุนรวม ภาครัฐก่อน ตามการปรับลดสมมติฐานอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่าย 2.8 ในปี 2562 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) ความคืบหน้าของโครงการลงทุนภาครัฐทั้งในด้านการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษและโครงการลงทุนด้านคมนาคมขนส่งที่มีความชัดเจนมากขึ้น และการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการในต่างประเทศ สอดคล้องกับการขยายตัวในเกณฑ์สูงและต่อเนื่องของการลงทุนก่อสร้างในหมวดโรงงานในครึ่งหลังของปี 2562 (2) การผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย (LTV) และ (3) การดำเนินมาตรการสนับสนุนการลงทุนเพิ่มเติมของภาครัฐ ทั้งในส่วนของมาตรการส่งเสริมการลงทุนและมาตรการรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ (Thailand Plus Package) และมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563
3.3 มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.4 เทียบกับการลดลงร้อยละ 3.2 ในปี 2562 แต่เป็นการปรับลดจากการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในการประมาณการที่ผ่านมา โดยเป็นผลจาก (1) การปรับลดประมาณการปริมาณการส่งออกสินค้าจากการขยายตัวร้อยละ 2.4 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมาเป็นร้อยละ 1.5 และ (2) การปรับลดประมาณการปริมาณการส่งออกบริการตามการปรับลดสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2563 จาก 41.8 ล้านคนในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา เป็น 37.0 ล้านคน ซึ่งส่งผลให้รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงจากปีที่ผ่านมาประมาณ 150,000 ล้านบาท โดยอยู่บนสมมติฐานการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คาดว่าจะเข้าสู่จุดสูงสุดในเดือนมีนาคมและสิ้นสุดลงจนทำให้ทางการจีนยุติเงื่อนไขการเดินทางออกนอกประเทศของประชาชนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เมื่อรวมกับการปรับลดประมาณการการส่งออกจะทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2563 ขยายตัวร้อยละ 0.9 ต่ำกว่าร้อยละ 3.5 ในการประมาณการครั้งก่อนหน้า
4.1 การประสานนโยบายการเงินการคลัง
(1) การติดตามและขับเคลื่อนมาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุน
ต่างประเทศ
15. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ครั้งที่ 5
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ครั้งที่ 5 และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรอบแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ครั้งที่ 5 ซึ่งที่ประชุมจะมีการรับรองในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ณ นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง พัฒนามาจากข้อริเริ่มของไทยในปี พ.ศ. 2555 ที่จะจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาคแม่น้ำล้านช้าง – แม่น้ำโขง โดยได้มีการจัดตั้งกรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้างอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง ลดความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิกและสนับสนุนการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งมีประเทศสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ราชอาณาจักรไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ทั้งนี้ ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นเอกสารที่สะท้อนการแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และความคิดเห็นระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกต่อการดำเนินการความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง โดยมีประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ความคืบหน้าในการดำเนินการ ความร่วมมือความมั่นคง ความเชื่อมโยง การค้า การลงทุน ทรัพยากรน้ำ ความร่วมมือด้านการเกษตร ทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาการประสานงาน และการสนับสนุนระบบพหุภาคี
16. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านการขนส่งทางถนน ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่งแห่งสาธารณรัฐเกาหลี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านการขนส่งทางถนน ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่งแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Memorandum of Cooperation in the Field of Road Transport of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Land. Infrastructure and Transport of the Republic of Korea) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุง แก้ไขร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม และเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยให้อยู่ในดุลยพินิจของกระทรวงคมนาคมโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างบันทึกความร่วมมือฯ มีดังนี้
1. ขอบเขตของความร่วมมือ จะเป็นการพัฒนาแผนงานและโครงการด้านการขนส่งทางถนนที่คู่ภาคีมีความสนใจร่วมกัน โดยความร่วมมืออาจรวมถึง การขนส่งทางถนน และขอบเขตความร่วมมืออื่น ๆ ที่อาจตัดสินใจร่วมกันโดยคู่ภาคี โดยจะครอบคลุมถึงโครงการดังต่อไปนี้
(ก) การแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร
(ข) ระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ Multi Lane Free Flow (MLFF ETCS)
(ค) โครงการทางด่วนใต้ดิน (Underground Expressway)
(ง) โครงการพัฒนาจุดพักรถ (Service Area Development)
(จ) ระบบขนส่งอัจฉริยะ (ITS) สำหรับการขนส่งทางถนน
(ฉ) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง และ
(ช) โครงการอื่น ๆ ที่อาจตัดสินใจร่วมกันโดยคู่ภาคี
2. รูปแบบความร่วมมือ คู่ภาคีอาจพิจารณารูปแบบความร่วมมือ ดังนี้
(ก) การแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ และการวิจัย โดยอ้างอิงจากโครงการที่ระบุไว้ในขอบเขตของความร่วมมือ
(ข) การศึกษาความเป็นไปได้ การให้คำปรึกษา และการช่วยเหลือทางวิชาการในขั้นตอนเตรียมโครงการ
(ค) การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
(ง) การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ
(จ) การจัดการประชุม การสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการและการประชุมรูปแบบอื่น ๆ
(ฉ) โครงการฝึกอบรมต่าง ๆ และการถ่ายทอดเทคโนโลยี
(ช) โครงการนำร่องต่าง ๆ
(ซ) การส่งเสริมการร่วมลงทุนจากภาคเอกชน
3. บันทึกความร่วมมือฉบับนี้ไม่ก่อสิทธิหรือภาระผูกพันทางกฎหมายใด ๆ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และจะดำเนินการภายใต้กฎหมายและข้อบังคับของทั้งสองประเทศ การจัดการทางด้านการเงินสำหรับการดำเนินการกิจกรรมภายใต้บันทึกความร่วมมือฉบับนี้ จะตัดสินใจร่วมกันโดยคู่ภาคี ตามความพร้อมทางการเงินและทรัพยากรอื่น ๆ ของคู่ภาคี
4. การมีผลบังคับใช้ ระยะเวลา และการสิ้นสุด บันทึกความร่วมมือฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ ลงนาม เป็นระยะเวลาห้า (5) ปี สามารถต่ออายุได้โดยความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรของคู่ภาคี ภาคีแต่ละฝ่ายอาจยกเลิกบันทึกความร่วมมือฉบับนี้ได้ โดยแจ้งให้ภาคีอีกฝ่ายทราบความประสงค์เป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าอย่างน้อยสาม (3) เดือน
17. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน – จีน สมัยพิเศษว่าด้วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน – จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงฯ ฉบับดังกล่าว
สาระสำคัญของร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน – จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ผ่านการดำเนินการต่าง ๆ เช่น (1) การจัดการประชุมผู้นำอาเซียน – จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในเวลาที่เหมาะสม (2) การส่งเสริมการหารือเชิงนโยบายและการแลกเปลี่ยนผ่านกลไกความร่วมมืออาเซียน – จีน ด้านการพัฒนาสาธารณสุข (3) การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี ประสบการณ์การฝึกอบรม และการประชุมเชิงปฏิบัติการ (4) การแบ่งปันข้อมูลอย่างทันท่วงทีและต่อเนื่อง (5) การใช้ประโยชน์จากปีแห่งความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน – จีน ในการส่งเสริมธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากของการแพร่ระบาด โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และ (6) การลดผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ต่อการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมของทุกประเทศ
ทั้งนี้ การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน – จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ มีกำหนดจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 19-20 กุมภาพันธ์ 2563 ณ กรุงวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
แต่งตั้ง
18. เรื่อง การเปลี่ยนโฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ การเปลี่ยนโฆษกประจำ ทส. ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (18 กุมภาพันธ์ 2562) รับทราบการเปลี่ยนโฆษกประจำ ทส. จากเดิมนายประลอง ดำรงไทย ผู้ตรวจราชการ ทส. เป็น นายโสภณ ทองดี ผู้ตรวจราชการ ทส. ตามคำสั่ง ทส. ที่ 70/2562 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 เรื่องแต่งตั้งโฆษกประจำ ทส.
2. ทส. ยกเลิกคำสั่ง ทส. ตามข้อ 1. และแต่งตั้ง นายพุฒิพงศ์ สุรพฤกษ์ ผู้ตรวจราชการ ทส. เป็นโฆษกประจำ ทส. ตามคำสั่ง ทส. ที่ 41/2563 ลงวันที่ 31 มกราคม 2563 เรื่อง แต่งตั้งโฆษกประจำ ทส.
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายสิทธิชัย บุญสะอาด ผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านวางแผนและวางโครงการก่อสร้าง) (วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ) กรมทางหลวง ให้ดำรงตำแหน่ง วิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านวางแผนและวางโครงการก่อสร้าง) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ตั้งแต่วันที่ 18 กรฎาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้ง นายพาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ) ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการ
พลเรือนสามัญสังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายรุจ ธรรมมงคล อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต รัฐคูเวต
2. นายพุทธพร อิ้วตกส้าน รองอธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายวันชัย วราวิทย์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางวรรณภรณ์ เกตุทัต รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายกวินทร์เกียรติ นนธ์พละ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2. ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายวรัท พฤกษากุลนันท์ รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 6 สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง สังกัดสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. รับโอน นางสาวสุรุ่งลักษณ์ เมฆะอำนวยชัย ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.พ.ร.
2. แต่งตั้ง นางนันทนา ธรรมสโรช ที่ปรึกษาการพัฒนาระบบราชการ (นักพัฒนาระบบราชการทรงคุณวุฒิ) ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.พ.ร.
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการตามข้อ 1. ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมการโอนด้วยแล้ว
25. เรื่อง การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นายธีรวัฒน์ ภูมิจิตร เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งดำรงตำแหน่งดังกล่าวจะครบ 4 ปี ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2564
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี