เปิดแล้วสายด่วน “บิ๊กแดง” ยันไม่ปาหี่ ชูสโลแกน “ทุกเรื่องเป็นความลับ ทุกเรื่องถึงผบ.ทบ.” ขอผบ.หน่วยลดระบบศักดินา เข้าถึงกำลังพล
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะรอง ผอ.รมน. เป็นประธานพิธีงานวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 12 ปี ประจำปี 2563 โดยมีคณะกรรมการอำนวยการ กอ.รมน. ผู้แทนส่วนราชการ ผู้บังคับบัญชา ข้าราชการกอ.รมน. เข้าร่วม จากนั้นเวลา 07.30 น. ภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธี พล.อ.อภิรัชต์ ได้เดินทางกลับทันที
ทั้งนี้ ผบ.ทบ. มอบหมายให้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ. แถลงรายละเอียดการเปิดสายด่วนให้กำลังพลร้องเรียนถึง ผบ.ทบ.ได้โดยตรง ว่า จากนโยบายของผบ.ทบ.ที่ต้องการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของกำลังพลให้รวดเร็ว จึงได้จัดตั้งช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างกำลังพลกับ ผบ.ทบ. คือ สายตรงแก้ไขปัญหาสำหรับกำลังพลกองทัพบก หมายเลขโทรศัพท์ 02-018-7330 หรือสายตรง ผบ.ทบ. โดยเป็นการดำเนินการจากผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก ในลักษณะคอลเซ็นเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมง มีสโลแกนว่า “ทุกเรื่องคือความลับ ทุกเรื่องถึงผบ.ทบ.”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาระบบของกองทัพบกได้เปิดให้กำลังพลที่มีเรื่องเดือดร้อนสามารถร้องทุกข์ได้ ซึ่งในอดีตการร้องทุกข์จะดำเนินการได้โดยผ่านตามสายการบังคับบัญชา หากผู้บังคับกองร้อยไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จนเป็นที่พอใจ สามารถร้องเรียนมายังผู้บังคับกองพันได้ หากยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ก็ร้องเรียนมายังผู้บังคับการกรมตามลำดับ จนถึง ผบ.ทบ.
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น สังคมรู้สึกว่ากำลังพลไม่ได้รับความเป็นธรรม ผบ.ทบ.จึงเปิดสายตรง เพื่อให้แจ้งความเดือดร้อนมาได้โดยตรง ถือเป็นมาตรการที่มีคุณภาพและวางใจได้ว่าทุกอย่างจะถูกเก็บเป็นความลับ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะรับเรื่องโดยผู้ร้องเรียนต้องระบุชื่อและสังกัด ก่อนบันทึกเรื่องใส่ซองปิดผนึกส่งข้อมูลถึง ผบ.ทบ.โดยตรง ไม่มีใครทราบรายละเอียดดังกล่าว เป็นการรับประกันเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเรื่องที่ร้องเรียนมาเป็นความลับอย่างแท้จริง
พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ผบ.ทบ.ได้สั่งการให้ตนเดินสายชี้แจงกับหน่วยทหารทั่วประเทศ โดยพบปะผู้บังคับหน่วยตามลำดับชั้น จนถึงผู้บังคับกองพันเพื่อทำความเข้าใจกับนโยบายของ ผบ.ทบ. อีกทั้งเน้นย้ำเรื่องกำลังพลว่าผู้บังคับหน่วยต้องเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชา และต้องไม่ทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนาย ต้องใกล้ชิดกับผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งนี้ในอดีตที่ผ่านมาระบบทหารจำเป็นต้องใช้ความเด็ดขาด เพื่อบังคับบัญชาการรบ แต่ปัจจุบันเราได้เพิ่มเติมเรื่องการเอาใจใส่ทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นผู้บังคับบัญชาต้องไม่ทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนาย แต้ต้องมีความเด็ดขาดในภารกิจทหารเช่นเดิม
ทั้งนี้ ปัจจุบันผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็ปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างโดยการลดคณะผู้ติดตามให้เล็กลง มีความเป็นอยู่เรียบง่าย และอาศัยบ้านพักทหารอยู่กินกับกำลังพลแทนการไปพักที่โรงแรม ในขณะเดียวกันหากมีการปฏิบัติทางทหารก็ยังคงไว้ซึ่งความเด็ดขาด และต้องผสมผสานกัน เพราะเป็นยุคของคนรุ่นใหม่ จะนำระบบเดิมมาใช้ไม่ได้ แต่ทหารก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้ระบบการบังคับบัญชา ไม่เช่นนั้นหากมีเหตุการณ์รบในอนาคตต้องมานั่งประชุมว่าจะรบดีหรือไม่ดี ทำเช่นนั้นคงไม่ได้ ต้องสั่งการให้ไปทันที ตนอยากให้สังคมเข้าใจตรงนี้ กองทัพบกยืนยันว่ารับฟังเสียงสะท้อนจากสังคมที่มองว่าเป็นความเหลื่อมล้ำภายในกองทัพบก หรือระบบศักดินาหรือไม่ เราก็พยายามปรับตัวอยู่ สิ่งที่ทำได้ในเวลาราชการคือคงความเด็ดขาดในสายการบังคับบัญชา แต่นอกเหนือเวลานั้นจะผ่อนลงและเข้าไปสร้างความคุ้นเคยกับผู้ใต้บังคับบัญชา
“ยืนยันว่าการดำเนินการต่างๆไม่ใช่การปาหี่อย่างที่ถูกฝ่ายการเมืองกล่าวหา อะไรที่เริ่มต้นจากเบอร์ 1 เป็นเรื่องที่จริงจังทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องปาหี่แน่นอน ผมเข้าใจว่าสังคมอยากทราบว่าระบบสายตรง ผบ.ทบ. เวิร์คหรือไม่ ยืนยันว่าคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่เอกชนที่มีประสบการณ์ในการรับเรื่องและประมวลเรื่อง หากมีคนร้องเรียนมาเรื่องเดียวกัน 1-2 คนก็จะรับเรื่องไว้ แต่ถ้าเรื่องใดมีคนร้องเรียนมาประมาณ100 คน ก็ควรได้รับการให้ความสำคัญ ในส่วนของผู้บังคับหน่วยที่มีความกังวลว่าอาจถูกใส่ร้าย ผบ.ทบ.ได้ให้นโยบายว่าไม่ต้องกังวล คนที่โตมาถึงระดับ ผบ.ทบ. หรือรองผบ.ทบ. มีดุลยพินิจพอว่าเรื่องใดเป็นการใส่ความ เรื่องใดเป็นเรื่องจริง เพราะผ่านระบบกลั้นกรองมาแล้ว จึงขอให้มั่นใจ” พล.อ.ณัฐพล กล่าว
พล.อ.ณัฐพล กล่าวอีกว่า เมื่อผบ.ทบ.ประเมินแล้วว่าเรื่องใดเป็นเรื่องจริงก็จะติดต่อไปยังผู้บังคับหน่วยนั้น เพื่อสอบถาม หากมีมูลความจริงก็จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ แต่ต้องยอมรับความจริงว่าเรื่องใดก็ตามที่ถูกนำมาพิจารณา ผู้ที่ถูกร้องเรียนก็จะสงสัยคู่กรณี ส่วนที่เป็นห่วงว่าผู้ถูกร้องเรียนจะถูกกลั้นแกล้งได้นั้นกองทัพบกมีระบบดูแลอยู่แล้ว โดยการย้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไปก่อนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการสอบสวน เช่นเดียวกับกรณีที่ผบ.ทบ.สั่งย้ายผู้บังคับหน่วยในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 หลังเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น เพื่อเปิดทางการสอบสวนและผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถให้การได้อย่างอิสระ
“อยากเรียนไปถึงประชาชนว่าทุกเรื่องขึ้นอยู่กับทัศนคติ แต่อยากให้มั่นใจระบบของกองทัพบกว่ามีเจตนาดีและตั้งใจทำให้ดีที่สุด แต่หากเรื่องใดเกินอำนาจกองทัพบกก็จะส่งให้หน่วยงานภาคนอก เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการ ทั้งนี้กองทัพบกให้ความสำคัญเรื่องการจัดการภายในของหน่วยนั้นๆ และหากระบบเดิมกลับมามีประสิทธิภาพ เปิดช่องทางให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามาร้องเรียนได้อย่างอิสรเสรี เป็นไปได้ว่าสายตรงผบ.ทบ.อาจยกเลิกได้ในอนาคต” รองผบ.ทบ. กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี