"จุลพันธ์"จี้จุดปมเศรษฐกิจ ซัด"รบ.ประยุทธ์"ทำประเทศติดกับดักสภาพคล่อง เงินล้นตลาดแต่ไม่มีที่ใช้ ฆ่าความหวังของคนไทย ชี้หนทางที่แก้ไขได้คือเปลี่ยนตัวนายกฯ
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ที่รัฐสภา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า
การบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือหลักฐานของความล้มเหลว ขาดความรู้ความเข้าใจ ไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง คนไทยไร้สิ้นความหวัง สภาพรวยกระจุกจนกระจาย เศรษฐกิจไทยพังทลาย หนทางเดียวที่จะแก้ไขได้ ก็ต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ เท่านั้น
ทั้งนี้ ตนขอยกตัวอย่างเหตุการณ์การฆ่าตัวตายที่ผ่านมาว่า ประมาณกว่า 20% เกี่ยวพันกับปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำเอาไว้ ซึ่งถือว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนฆ่าความหวังของคนไทย เพราะแก้ปัญหาแบบผิดทิศผิดทาง ขาดความรู้ความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ตนมีตัวเลขทางเศรษฐกิจไทยที่แสดงให้เห็นว่า ป่วยหนักจริงๆ เพราะอยู่ในช่วงขาลงตั้งแต่ปี 2557 มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตกต่ำมาหลายปี ไม่มีการเติบโตเกิน 4% อีกทั้งข่าวเฟคนิวส์ทางเศรษฐกิจ ก็มาจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งสิ้น ซึ่งในเวลานี้ คนรวยมองหน้ากันว่า จะหาเงินกู้มาจากไหน อีกทั้ง รายได้ขณะนี้ต้องว่ากันวันต่อวันว่า จะเอาตัวรอดได้หรือไม่
นายจุลพันธ์ อภิปรายต่อว่า ส่วนการทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นชื่อพรรคคือ นโยบายประชารัฐ บอกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาแข็งแกร่ง แต่วันนี้พิสูจน์ชัดแล้วว่าเอกชนที่ให้สัมปทานขนาดใหญ่ เขาก็ขนการลงทุนไปต่างประเทศกันหมด เพราะเขาไม่เชื่อมั่นรัฐบาลแล้วเวลานี้การนำเข้ามีมาก แต่การส่งออกกลับน้อยลง นักลงทุนไม่เอาเงินมาสร้างการลงทุนใหม่ๆ กำลังการผลิตของไทย วันนี้มีปัญหา ตัวเลขการส่งออกติดลบแน่นอน สำหรับงบประมาณ 2563 ในวงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ที่เพิ่งการพิจารณาจากที่ประชุมสภาฯไปถึง 2 รอบ โดยที่ฝ่ายค้านไม่ท้วงติงไม่ขัดขวาง เพราะพวกเรากลั้นใจให้ผ่านไป แต่เรารู้ว่านี่คือกลไกเพียงขาเดียวที่หลงเหลืออยู่ของประเทศ ไม่เช่นนั่นจะทำให้เศรษฐกิจถดถอย งบประมาณที่จัดสรรไม่มีประสิทธิภาพ สิ่งต่างๆเหล่านี้กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกขามีปัญหาหมด
"เศรษฐกิจต่างๆ ลดกำลังการผลิต โรงงานเริ่มปิดตัว เนื่องจากปริมาณเงินในระบบมีไม่เพียงพอ ปัญหาเศรษกิจตั้งแต่เป็นรัฐบาล คสช.จนถึงวันนี้ ซึมยาว อยู่มา 6 ปีแล้ว วันนี้เราอยู่ในสถานการณ์กบต้ม กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็แย่แล้ว เศรษฐกิจไทยตอนนี้เป็นเหมือนมะเร็ง หากปล่อยให้บริหารต่อไปจะเข้าสู่ขั้นที่ 4 เอาหมอเทวดามารักษาก็ช่วยไมได้" นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ กล่าวด้วยว่า สัญญาณอันตรายคืออัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน แรงในการใช้จ่ายลงทุนน้อย คนรวยเก็บออม คนจนไม่มีเงินใช้จ่าย การใช้จ่ายหยุดชะงัก เกิดภาวะเงินฝืด โรงงานลดกำลังการผลิต ลดราคาสินค้าเพื่อแข่งขันได้ อัตราการจ้างงานลดลง โรงงานเริ่มปิดตัว คนตกงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจัยหลักอธิบายง่ายๆ คือปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจมีไม่เพียงพอ โดยเดือนมกราคมปีนี้มี 222 โรงงาน แจ้งขอปิดกิจการ ขณะที่ปี 2562 ตลอดทั้งปีมี 1,667 โรงงาน เสียมูลค่าการลงทุน 7 หมื่นกว่าล้านบาท
นายจุลพันธ์ กล่าวอีกว่า การใช้นโยบายการคลัง การใช้นโยบายการเงิน การกำกับอัตราแลกเปลี่ยน เป็นปัจจัยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ควรทำกลับไม่ได้ทำ สิ่งแรกคือกลไกนโยบายการคลัง ด้วยการใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่สิ่งที่ทำแทบไม่ช่วยทำให้เกิดการกระตุ้นหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ซึ่งงบประมาณโดยเฉลี่ยหลายปีที่ผ่านมากว่า 3 ล้านล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะปีล่าสุดปี 3.2 ล้านล้านบาท แต่มีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยมาก และไม่ยอมลดขนาดของภาครัฐเพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุน พยายามสร้างรัฐราชการ รัฐบาลใหญ่โต ประชาชนลีบเล็ก ซึ่งหากกำหนดสัดส่วนภาครัฐไม่ให้ขยายใหญ่โต อาจทำให้เห็นงบลงทุนได้ถึง 1 ล้านบาท และยังกู้เพื่อการขาดดุลไว้เกือบสูงสุดกว่า 3 ล้านบาท
นายจุลพันธ์ กล่าวด้วยว่า ความเหลื่อมล้ำกรณีออกร่าง พ.ร.บ.การจัดเก็บภาษีมรดก คนรวยหลบเลี่ยงได้ และไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้จริง สุดท้ายกลายเป็นกฎหมายที่เลือกปฏิบัติกับคนชั้นกลางและคนจน และที่ใหญ่ที่สุดคือการออกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทำให้คนจนต้องแบกรับภาษีมากขึ้น 10 เท่า ไม่เป็นธรรม และเตรียมออกกฎหมายขูดรีดภาษีกับผู้ทำธุรกิจออนไลน์ ตลอดจนการลดหย่อนภาษีให้คนใช้มาตรการชิมช้อปใช้ ยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้นไปอีก ขณะที่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แม้จะช่วยเหลือประชาชนในระยะสั้น แต่ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดความหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ไม่มีแรงจูงใจให้เกิดการค้าขายใหม่ๆมากขึ้น เพราะใช้ได้แต่ซื้อของที่จำเป็นเท่านั้น และคนที่ได้รับประโยชน์สูงสุด สุดท้ายก็คือเจ้าสัวใหญ่เพียงไม่กี่ราย และที่เหี้ยมโหดที่สุดคือเรื่องค่าเงิน แม้ขณะนี้ค่าเงินบาทคลายตัวลงจากวิกฤตโคโรน่าในต่างประเทศ แต่ปีที่แล้วต้นปีอยู่ที่ 22 บาทต่อดอลลาร์ และท้ายปีอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ ผลกระทบการส่งออก ทุกคนเสมอภาคหมดเพราะเจ๊งทุกคน อย่างกรณีโรงงาน Chevrolet ไม่มีโรงงานใหม่ๆ มาลงทุนเพิ่ม แล้วยังมีการย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านหลายโรงงาน
"สิ่งที่เกิดกับประเทศไทยคือกับดักสภาพคล่อง เงินล้นตลาดแต่ไม่มีที่ใช้ ไม่กล้ากู้เงินลงทุน เพราะไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ ขณะที่คนจนเข้าไปกู้ธนาคารก็ไม่กล้าให้กู้ เงินก็เลยคาอยู่ในระบบธนาคารเต็มไปหมด ไม่สามารถออกมาใช้ได้ทางออกเดียวคือต้องเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี" นายจุลพันธ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี