"ปลอดประสพ"ดอดมอบตัว ฟังฎีกาคดีโยกย้ายลูกน้องไม่เป็นธรรม สุดท้ายศาลฎีกาสั่งจำคุก1ปี8เดือน ไม่รอลงอาญา ชดใช้1.4ล้านบาทแก่อดีตลูกน้อง
เมื่อเวลา 13.00 น.เศษ วันที่ 5 มีนาคม 2563 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี นายปลอดประสพ สุรัสวดี อายุ 75 ปี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำเลยคดีปฏิบัติหน้าที่ทิชอบฯ ที่ศาลฯ ได้ออกหมายจับให้ติดตามตัวมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.1063/2558 ที่ นายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน อดีตรองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายปลอดประสพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ได้เดินทางมารายงานตัวต่อศาลก่อนถึงกำหนดนัดวันที่ 7 เม.ย.นี้ พร้อมขอให้ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ นายปลอดประสพ มีอาการป่วยหนัก ใส่หน้ากากอนามัยและนั่งรถเข็นมาศาล พร้อมทั้งมีบุตรชาย ญาติและคนใกล้ชิดนับ 10 คน มาร่วมให้กำลังใจด้วย
กระทั่งเวลา 14.25 น.ศาลจึงได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.1063/2558 ที่ นายวิฑูรย์ อดีตรองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ทส.เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายปลอดประสพ อายุ 75 ปี ในฐานะอดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
กรณีเมื่อวันที่ 4 ก.ย.46 นายบรรพต หงษ์ทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ขณะนั้น) มีคำสั่ง 399/2546 แต่งตัั้ง นายวิฑูรย์ โจทก์ ดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนัก (นักวิชาการป่าไม้ 9) สำนักส่งเสริมการปลูกป่าเศรษฐกิจ กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรสหกรณ์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.46 แต่จากนั้นมีการตรา พ.ร.ฎ.โอนป่ากรมป่าไม้ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีผลเมื่อลงราชกิจจานุเบกษาวันที่ 30 ก.ย.46 ซึ่งขณะนั้นโจทก์ ดำรงตำแหน่ง ผอ.กองการอนุญาต กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ต่อมาวันที่ 1 ต.ค.46 - 12 พ.ย.56 จำเลยซึ่งดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯได้ออกคำสั่งกระทรวงทรัพยากรฯที่ 287/2546 เมื่อวันที่ 1 ต.ค.46 ให้ระงับการมอบหมายงานในหน้าที่ตามคำสั่ง 399/2546 ซึ่งแต่งตั้งโจทก์ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนัก (นักวิชาการป่าไม้ 9) โดยให้ถือว่าเป็นการยกเลิกคำสั่งดังกล่าวไว้ก่อนอันเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบเพื่อยังยั้งไม่ให้ โจทก์ได้เลื่อนตำแหน่ง สาเหตุเนื่องจาก โจทก์กับจำเลยมีเรื่องโกรธเคืองในเรื่องส่วนตัวกันมาก่อน
กระทั่งวันที่ 12 พ.ย.46 จำเลยกลั่นแกล้งโจทก์ ด้วยการให้นายดำรงค์ พิเดช รักษาราชการอธิบดีกรมป่าไม้ ออกคำสั่งกรมป่าไม้ ที่ 543/2546 ย้ายโจทก์ไปตำแหน่ง ป่าไม้จังหวัดอำนาจเจริญ ซึ่งเป็นตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญระดับ 8 เป็นการย้ายให้ปฏิบัติหน้าที่ต่ำกว่าระดับเดิม อีกทั้งก็ไม่ใช่ความจำเป็นที่ต้องรีบดำเนินการ และจำเลยก็ทราบดีว่า นายดำรงค์ ไม่มีอำนาจสั่งย้ายโจทก์
ดังนั้น คำสั่งย้ายที่จำเลยให้ความเห็นชอบนั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การกระทำของจำเลยจึงเป็นผลให้โจทก์ ได้รับความเสียหายต่อเสียชื่อเสียง เสียสิทธิ และประโยชน์ ที่ควรได้รับไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นระดับ 9 จึงขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ด้วย 2 ล้านบาท
เหตุเกิดที่แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.โดย นายปลอดประสพ จำเลย ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีโดยตลอด
คดีนี้ ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค.60 เห็นว่าการที่จำเลยมีคำสั่งไม่แต่งตั้งโจทก์ ให้เลื่อนขั้นเป็นข้าราชการระดับ 9 นั้น ถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหายทั้งที่โจทก์มีคุณสมบัติจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บริหารได้ จึงให้จำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา ไว้ 2 ปี และให้จำเลย ชดใช้เงินค่าเสียหาย 1.4 ล้านบาท แก่โจทก์ด้วย
ต่อมาทั้ง นายปลอดประสพ จำเลย และ นายวิฑูรย์ โจทก์ ต่างยื่นอุทธรณ์ โดยมีการอ่านคำพิพากษาของ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เมื่อวันที่ 17 เม.ย.61 ศาลอุทธรณ์ฯ เห็นว่า การย้ายนี้ ได้ย้ายโจทก์เพียงคนเดียวและในระดับที่ต่ำกว่าเดิมด้วยเสมือนเป็นการลงโทษ โดยโจทก์กับจำเลย เคยมีข้อพิพาทกันเมื่อปี 2541 ขณะที่คำสั่งให้โจทก์ได้เลื่อนชั้นดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักงานวิชาการ 9 ก็ชอบด้วยกฎหมาย
การที่จำเลยให้ยกเลิกคำสั่งนั้นจึงกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมายและน่าเชื่อว่ามาจากกรณีจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองโจทก์มาก่อนและเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และเมื่อพิจารณาการกระทำที่จำเลยให้รับโอนนายดำรงค์ มาซ้อนตำแหน่งโจทก์ที่โจทก์ได้รับการแต่งตั้งโดยชอบด้วยกฎหมาย ก็อาจทำให้เกิดปัญหาว่าการปฏิบัติราชการของนายดำรงค์ต่อการออกคำสั่ง - ประกาศต่างๆ ของกรมป่าไม้ว่ามีความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการได้ พฤติการณ์นับว่าเป็นความผิดร้ายแรง จึงไม่เห็นสมควรรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ฯ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิด ตาม ม.157 ประกอบมาตรา 84 อีกกรรมหนึ่งที่ใช้ให้นายดำรงค์ โยกย้ายโจทก์ จึงให้จำคุก 2 กระทงๆ ละ 1 ปี รวมโทษจำคุกทั้งสิ้น 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ ก็ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 1.4 ล้านบาทด้วย
ต่อมา นายปลอดประสพ จำเลย ได้ยื่นฎีกาต่อสู้คดี และได้ประกันตัวระหว่างฎีกา ด้วยหลักทรัพย์ 400,000 บาท แต่เมื่อวันที่ 26 ก.พ.63 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นัดอ่านคำพิพากษาฎีกา แต่นายปลอดประสพ ไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลจึงมีคำสั่งให้ปรับนายประกันเต็มจำนวน และให้ออกหมายจับนายปลอดประสพ จำเลยมาฟังคำพิพากษาฎีกา
ศาลฎีกา ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า การกระทำของนายปลอดประสพ จำเลย ขณะดำรงตำแหน่งปลัด ทส.ที่ให้นายดำรงค์ออกคำสั่งใหม่ให้ นายวิฑูรย์ โจทก์ย้ายไปดำรงค์ตำแหน่งป่าไม้จังหวัดอำนาจเจริญนั้น เป็นตำแหน่งข้าราชการพลเรือนระดับ 8 เป็นการย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ต่ำกว่าระดับเดิม และเป็นการโยกย้ายโดยเร่งด่วนไม่ได้หารือต่อคณะกรรมการที่จำเลยอ้างว่ามีปัญหาเรื่องตำแหน่งใหม่ของโจทก์ เมื่อมีการโอนย้ายสังกัดกรมป่าไม้จากกระทรวงเกษตรฯ มาสังกัดกระทรวงทรัพยากรฯ ซึ่งจากคำเบิกความของพยานที่ตอบคำถามยังได้ความว่าตำแหน่ง ผอ.สำนักงานวิชาการ 9 นั้น ก็จะมีกระบวนการสรรหาผู้มีคุณสมบัติซึ่งโจทก์ก็มีคุณสมบัติ จึงต่างจากที่จำเลยอ้าง
ดังนั้น การออกคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้งโจทก์และการย้ายนายดำรงค์มาในตำแหน่งทับซ้อนกับโจทก์จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ได้รับความเสียหายและทางเจริญก้าวหน้าในอาชีพของโจทก์ ซึ่งการแต่งตั้งโยกย้ายระบบราชการนอกจากความเหมาะสมแล้วจะต้องคำนึงถึงคุณธรรมและธรรมาภิบาลแต่เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ของจำเลยแล้ว เป็นการกระทำที่ทำลายระบบคุณธรรมและธรรมาภิบาลในระบบราชการจึงไม่ควรรอการลงโทษ และที่ศาลอุทธรณ์ฯกำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 1.4 ล้านบาท นั้นเหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายตรามาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ให้จำคุกรวม 1 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ให้ออกหมายคดีถึงที่สุดด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่ได้รับฟังคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งผลถือเป็นที่สุดตามกฎหมายแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงได้ควบคุมตัว นายปลอดประสพ อดีตรองนายกฯ และอดีตปลัด ทส.ไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อรับโทษตามผลการพิพากษาฎีกาต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี