'อัจฉริยะ' เดินหน้าต่อ แจง กมธ. ปชช. ปูดมีผู้ผลิตหน้ากากอนามัยมีมากกว่า 200 บริษัท มียอด 200 - 300 ล้านชิ้น ซัดมีการนำส่วนต่างขายในตลาดมืด ด้าน“คารม”ระบุมีเส้นทางการเงินโยงใยหน้ากากอนามัยโยงข้าราชการบางคน
เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 26 มีนาคม 2563 ที่รัฐสภา นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะอนุกรรมธิการชุดที่สอง คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร แถลงผลประชุมอนุกมธ.ว่า ที่ประชุมได้เชิญนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลืออาชญากรรม มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกักตุนหน้ากากอนามัย
ทั้งนี้ อนุกมธ.ได้ตั้งประเด็นเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยที่หายไปจากท้องตลาด และถูกส่งไปขายต่างประเทศ พบว่า มีจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ คำสั่งของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคากลางสินค้าและผลิตภัณฑ์ วันที่ 4 ก.พ. 2563 ที่ขอให้การส่งออกหน้ากากอนามัยมาอยู่ในความดูแลของกระทรวงพาณิชย์ จากเดิมที่เป็นหน้าที่ขององค์การเภสัชกรรม
ขณะเดียวกันอนุกมธ.ยังมีข้อสงสัยโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย 11 แห่งที่ระบุว่า มีกำลังการผลิต 1.2 ล้านชิ้นต่อวันนั้น น่าจะมีการผลิตหน้ากากอนามัยได้มากกว่านั้น โดยเห็นจากตัวเลขการใช้ไฟฟ้าของโรงงานแต่ละแห่งมียอดใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นมาก ดังนั้นกำลังการผลิตต้องสูงขึ้น ซี่งส่วนต่างของหน้ากากที่เกิน 1.2 ล้านชิ้น ไปอยู่ไหน เข้าไปสู่ในตลาดมืดหรือไม่ นอกจากนี้ฝากไปถึงนายกฯ และรมว.พาณิชย์ให้ช่วยชี้แจงการกระจายหน้ากากอนามัย ที่ระบุว่า มีการส่งให้โรงพยาบาล 7 แสนชิ้นต่อวัน และส่งให้ร้านค้า 5 แสนชิ้นต่อวัน มีรายละเอียดส่งไปที่ไหนบ้าง ทำไมราคายังแพงอยู่
นายธีรัจชัย กล่าวว่า จากข้อมูลยังพบว่า ในวันที่ 9 มี.ค.2563 คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคากลางสินค้าและผลิตภัณฑ์ กระทรวงพาณิชย์ อนุมัติให้ 7 บริษัท ส่งออกหน้ากากอนามัยถึง 12 ล้านชิ้น จากยอดทั้งหมดที่ขอมา 53 ล้านชิ้น จาก 242 บริษัท ซึ่งเป็นเฉพาะวันที่ 9 มี.ค.วันเดียว จึงอยากทราบว่า วันอื่น ๆ มีการอนุมัติการส่งออกหน้ากากอนามัยเท่าไรบ้าง
ด้านนายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะที่ปรึกษากมธ. กล่าวว่า นายอัจฉริยะได้แจ้งต่ออนุกมธ.ว่า มีข้อมูลจากปปง.ถึงเส้นทางการเงินเรื่องหน้ากากอนามัยในกลุ่มข้าราชการบางคน ซึ่งนายกฯได้รับทราบข้อมูลเรื่องนี้จนมีการใช้คำสั่งกับข้าราชการบางคนไปแล้ว เรามีข้อมูลส่วนนี้ที่ตรวจสอบได้ และจะตรวจสอบเชิงลึกต่อไป
อย่างไรก็ตาม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมประชุมคณะอนุกมธ. ว่า ตนจะให้ข้อมูลกับกมธ.ว่าบริษัทผู้ผลิตหน้ากากอนามัยมีมากกว่า 200 บริษัท หากทุกบริษัทร่วมกันผลิตก็น่าจะมีหน้ากากอนามัยมากกว่า 200-300 ล้านชิ้นต่อเดือน ซึ่งใน 200 บริษัทมีทั้งการนำเข้า ส่งออก และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย จึงไม่ทราบว่าของขาดตลาดได้อย่างไร ซึ่งนอกจากจะระงับการส่งออกแล้วยังไม่ให้มีการผลิตของให้กับประชาชนคนไทยได้ใช้ จึงไม่ทราบว่าเหตุใดจึงต้องล็อคแค่ 11 บริษัท และ 2 ใน 11 บริษัทก็ได้มีการนำหน้ากากอนามัยไปขายในตลาดมืดเป็นจำนวนมาก
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า มีบริษัทหนึ่งขายหน้ากากอนามัยให้นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือ บอย เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563 จำนวน 1 ล้านชิ้น ในราคา 3.40 บาท ซึ่งบางคนได้ค่านายหน้า 40 สตางค์ ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้มีการประกาศห้ามการส่งออกในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ซึ่งบริษัทต้องจัดส่งยอดที่มีอยู่ในสต๊อกในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ โดยบริษัทได้แจ้งว่ามีกำลังการผลิตวันละ 200,000 ชิ้น แต่แท้ที่จริงบริษัทมีกำลังการผลิตวันละ 500,000 ชิ้น ซึ่งได้นำส่วนต่างจำนวนวันละ 300,000 ชิ้น ไปขายในตลาดออนไลน์ และนำส่งไปต่างประเทศ จึงอยากทราบว่ากรมการค้าภายในควบคุมสินค้าอย่างไรทำให้ไม่มีของขายในตลาดประเทศไทย หากนำทั้ง 200 บริษัทมาร่วมกันผลิตสินค้าจะขาดตลาดได้อย่างไร
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลหลักฐานที่ตัวเองมีอยู่เชื่อว่าสามารถเอาผิดข้าราชการระดับสูงได้ รวมถึงเกี่ยวพันกับหลายหน่วยงาน ขึ้นอยู่กับว่าทาง กมธ. จะเอาจริงหรือไม่ ส่วนตัวกลัวว่าจะเป็นมวยล้มต้มคนดูจึงไม่อยากให้ข้อมูลมาก ทั้งที่ตัวเองก็มีข้อมูลเชิงลึกอยู่จำนวนมาก โดยเรื่องนี้เป็นหน้าที่ฝ่ายค้านที่ต้องตรวจสอบหาความจริงให้ได้ว่าหน้ากากอนามัยหายไปไหน ใครเป็นคนอนุญาตให้ส่งออก ขณะเดียวกัน หากกรมการค้าภายในยอมให้ข้อมูลทั้ง 242 บริษัท ยอมให้ข้อมูลกับ กมธ.และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะง่ายต่อการตรวจสอบ แต่ที่ผ่านมากรมการค้าภายในไม่เคยให้ข้อมูลเลย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี