"จตุพร"ร้องรัฐควรแก้ปัญหาปชช.จะอดตายให้ได้ก่อนประกาศเคอร์ฟิว24ชม. เผยมาตรการกักตัว14วันล้มเหลว เหตุคนของรัฐทำผิดพลาดซ้ำซาก แนะอย่าเพิ่งกู้เงิน อ้างไม่รู้โควิดจะนานแค่ไหน ขอเก็บไว้เป็นมาตรการสุดท้ายเพื่อฟื้นฟูประเทศ จี้รัฐงดเก็บค่าไฟ ช่วยจ่ายค่าเช่าบ้าน บี้กลุ่มทุนใหญ่ลดกำไรสินค้าช่วยคนเดือดร้อนทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เปิดเผยผ่านรายการ "ลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์" ว่า มาตรการกักตัวเพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาลเกิดความล้มเหลวต่อเนื่อง เพราะกลไกรัฐปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดบ่อยครั้ง พร้อมไม่ซึมซับบทเรียน และปรับปรุงให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร ออกตัวว่า การพูดครั้งนี้ไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก เพราะที่ผ่านมาล้วนหนักหนา จึงขอสื่อถึงผู้มีอำนาจอย่างสร้างสรรค์ และไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์เพื่อทำลายล้าง อีกทั้งขอเรียกร้องให้รัฐบาลคำนึงถึงความจำเป็นของประชาชนกำลังอยู่ในสภาพอดตาย ดังนั้น รัฐควรมีมาตรการเร่งด่วนมาแก้ปัญหาให้ได้ก่อนจะมุ่งเดินหน้าประกาศเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงตามการส่งสัญญาณของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
พร้อมระบุว่า ในสถานการณ์การแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะนี้ ได้สร้างความวิตกกังวล ทำลายเศรษฐกิจ ทำลายอาชีพย่อยยับที่สุด ตนพูดวันนี้ต้องการเสนออย่างสร้างสรรค์ ไม่ได้วิจารณ์แบบทำลายล้าง ยิ่งเมื่อนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านสื่อถึงผู้นำรัฐบาล เพื่อให้ความร่วมมือฝ่าฟันต่อสู้กับโควิด-19 ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ดี และอยากให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
นายจตุพร เปิดเผยถึงความผิดพลาดของกลไกในสถานการณ์โควิด-19 ระบาดทั่วประเทศ จนประชาชนมีความยากลำบากว่า ต้องยอมรับความจริง ประชาชนเดือดร้อน เป็นทุกข์ แต่มีคนส่วนน้อยมีความสุข ดังนั้น หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ร้องขอบริจาคชุดป้องกันการเชื้อโรคนั้น สะท้อนถึงการตั้งงบประมาณอย่างอนาถา แต่งบกลาโหมขอซื้อเรือยกพลขึ้นบกแบบไม่รู้กาละ เทศะ แม้ถอนวาระออกไป แต่ควรซึมซับบทเรียนว่า เวลานี้ประชาชนพร้อมจะไม่ทนแล้ว
"อะไรก็ตามไปกระทบกระเทือนความรู้สึกของประชาชน แม้เขาจะอยู่ที่บ้าน แต่แรงเหวี่ยงที่เกิดจากโซเชียลมีเดียอันทรงอนุภาพนั้น ได้ส่งสัญญาณเตือนว่า ทำอะไรให้คิดถึงหัวใจประชาชนไว้บ้าง"
นายจตุพร ย้ำว่า ถ้าประเทศต้องอยู่อย่างอนาถาควรเท่ากันทุกส่วน เมื่องบประมาณไม่มีเหลือ และโรงพยาบาลร้องขอให้บริจาค และการบริจาคไม่มีใครต่อว่ากัน เพราะเป็นเรื่องของสังคมที่อยู่ด้วยความดีงามกัน แต่หากประทศมีมีเงินซื้ออาวุธ ไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์การแพทย์ให้บุคลากรสาธารณสุขทำสงครามกับโควิด-19 แล้ว ถือเป็นความล้มเหลวของการบริหารงบประมาณอย่างสิ้นเชิง
วันนี้กระทรวงพาณิชย์ ตายไปหนึ่งแล้วจากกรณีหน้ากากอนามัย และไข่ไก่ราคาแพง ซึ่งตนเชื่อว่านายกฯ มีข้อมูลครบถ้วนว่าใครไปหากินบนความหายนะของประเทศชาติ ซึ่งเลวชนิดหาคำจำกัดความไม่ได้ แล้วยังมาเกิดกรณีกลาโหมของบประมาณอีก แต่ต้องยอมถอยออกไป
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ยังมีความผิดพลาดจากกรณีนักเรียนไทย หรือคนไทยเดินทางกลับจากสหรัฐมาไทย เมื่อห้ามต่างชาติเข้าไทยแล้ว จะห้ามคนไทยกลับประเทศไม่ได้ ดังนั้น เมื่อลงเครื่องบินที่สนามบินสุวรรณภูมิบอกถึง รัฐไม่มีมาตรการรองรับ จึงอนุญาติให้คนไทยชุดหนึ่งกลับบ้าน ซึ่งเป็นความผิด แต่สังคมไทยกลับวิพากษ์คนไทยกลับจากสหรัฐบางส่วนว่า หนีการกักตัว
อีกทั้ง ยังส่งกลุ่มคนไทยเดินทางกลับอีกชุดไปกักตัวที่ฐานทัพเรือสัตหีบ และเจ้าหน้าที่บอกว่า กระทันหัน เพิ่งรู้ จึงเตรียมอาหารไว้ให้ไม่ทัน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นมาตรการกักตัวล้มเหลว อนุญาติให้กลับบ้าน แล้วสั่งให้มารายงานตัวอีก
กรณีเช่นนี้สะท้อนว่าความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเหล่านับแต่กรณีผีน้อย (แรงงานไทยลักลอบทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้) รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่า มาตรการกักตัวอยู่บ้านนั้น ถ้าไม่รับผิดชอบกันจริงแล้วทำกันยาก ดังนั้น ชี้ให้เห็นว่า ผ่านมากันหลายเดือน จนมีคนเสียชีวิต 23 ศพ คนติดเชื้อถึง 2,169 รายแล้ว จึงสะท้อนประสิทธิภาพของผู้ปฏิบัติงาน แม้ไม่มีฝ่ายใด คนใดต้องการให้เกิดความผิดพลาดขึ้นก็ตาม
"สถานการณ์โควิด-19 เป็นโรคที่เสียชีวิตน้อยแค่ 23 ศพ (ข้อมูลจากศูนย์ ศบค.เมื่อ 5 เม.ย.) แต่เสียสติ วิตกกังวลกันมาก จึงขอเรียนว่า พอเสียทีเถอะ ไม่มีใคร (ประชาชน) ทำผิดตามมาตรการของตัวเอง (รัฐ) ประกาศ นอกจากกลไกของตัวเองไปทำผิดเสียเอง จนสังคมเกิดความชุลมุน วุ่นวายขึ้นมา แล้วควบคุมกันไม่ได้"
ส่วนการประกาศเคอร์ฟิวและนายกฯยังส่งสัญญาณหากเชื้อโควิดไม่ลดแพร่ระบาดแล้วจะเพิ่มมาตรการเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงนั้น จัดเป็นการล็อกดาวน์ประเทศหรือปิดประเทศ แต่หลายคนเสนอก่อนหน้านี้เรื่องการล็อกดาวน์ เพราะสถานการณ์ประเทศเลยเถิดการล็อกดาวน์กันมาแล้ว
มาตรการเคอร์ฟิวนั้นมีคนไม่กี่จำพวกนั้นเกิดปัญหาในการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่เกิดกับคนส่วนใหญ่ รวมถึงบังคับมาตรการให้ใส่หน้ากากอนามัย ไม่รู้มาบังคับกันเพื่ออะไร และยังมีมาตรการแจก 5 พันบาทเพื่อคน 3 ล้านคนแต่มีคนลงทะเบียน 21 ล้านคน รวมใช้งบกว่า 3 แสนกว่าล้าน แล้วยังสั่งให้คนไม่มีคุณสมบัติไปถอนชื่อออกเพื่อไม่ให้มีความผิด
ตนคิดว่า มาตรการนี้จะเป็นปัญหา แม้จะแจกให้ได้แค่ 3 ล้านคน จะถูกคน 18 ล้านด่าเอา เพราะวันนี้คนทุกข์ล่วงหน้าไปแล้ว ถ้าล็อกดาวน์กัน 24 ชั่วโมงอีก คนจะไม่มีข้าวกินกันทุกบ้าน เพราะบ้างครอบครัวหาเช้ากินค่ำ ผมว่าคนไทยจะตายกับการอดตาย และตัวเลขล่าสุดจะมากกว่า 23 ศพที่ผู้ป่วยติดเชื้อโควิดตายเสียอีก
"ก่อนที่ท่านจะคิดเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงหรือเรียกว่าล็อกดาวน์นั้น ท่านต้องให้เขามีข้าวกินเสียก่อน ถ้าเขายังอด อย่าไปทำเลยเชื่อผม วันนี้ท่านเคอร์ฟิว 4 ทุ่มถึงตี 5 เพื่อต้องการจัดการกับมนุษย์บ้างจำพวกเท่านั้นเอง แต่วันนี้มีกลไกเอ็กซ์เรย์กันได้ ตามตัวกันได้ จึงไม่จำเป็นต้องล็อกดาวน์กันแล้ว"
นายจตุพร ย้ำว่า ถ้ายังล็อกดาวน์ควรแก้ปัญหาปากท้องประชาชนให้ได้ก่อน เพราะมีบ้างอาชีพยังทำงานกันได้อยู่ และไม่รู้ว่ารัฐจะจ่ายเงิน 5 พันได้เมื่อไร
นายจตุพร เรียกร้องว่า เพื่อไม่ให้คนเดือดร้อน รัฐควรยกเลิกค่าไฟฟ้าให้ประชาชนดีกว่าลดให้ 3% ทั้งที่การไฟฟ้าทำรายได้ให้รัฐมหาศาล โดยเก็บค่าไฟในราคาที่เท่ากัน แต่มาจากแหล่งผลิตที่แตกต่างกัน คือ จากน้ำ ถ่านหิน และแก๊ส
ส่วนการพักหนี้นั้น สถาบันการเงินของรัฐได้พักหนี้ไปแล้ว จึงอยากเห็นสถาบันการเงินเอกชนพักชำระหนี้ตามรัฐ สำหรับคนเช่าบ้าน รัฐต้องมีมาตรการเยียวยา อีกทั้งราคาสินค้า กลุ่มทุนรายใหญ่ควรลดราคาหรือลดกำไรลงมา จะได้ขายปริมาณในจำนวนที่มากขึ้นอีก
"บางคนทั้งตระกูลมีสินทรัพย์เกือบล้านล้านแล้ว มโหฬาร แต่เราต้องการแสดงให้เห็นว่าบรรดาเจ้าสัวทั้งหลายลดกำไรของตัวเองลงมา ซึ่งผมไม่ได้ชวนให้ท่านขาดทุน แต่ยามนี้คนเดือดร้อน มีคนตกงาน 6.5 ล้านคนแล้ว ควรแสดงการลดกำไรลงมาหน่อย"
สรุปความง่ายๆ คือ ถ้ายังแก้ปัญหาปากท้องไม่ได้ ควรใช้กลไกสาธารณสุข มหาดไทย ตรวจสอบ ติดตาม สกัดการแพร่เชื้อไวรัสโควิดได้ เพียงแต่ให้การบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วน พรก.เงินกู้ 3 ฉบับ โดยเฉพาะการกู้ 1.6 ล้านล้านนั้น สถานการณ์ขณะนี้ การกู้เงินควรเป็นมาตรการสุดท้าย เพราะได้รัฐตัดงบ 10% จากการกระทรวงรวมมาเป็นงบกลาง 5 แสนล้านแล้ว
"ผมไม่รู้ว่า โควิดจะจบลงเมื่อไร สมมุติว่าจบใน 3 เดือน จากนั้นประเทศต้องฟื้นฟูอีกมาก และหนีการกู้เงินไปไม่พ้น แต่เวลานี้งบลงทุนพักไว้ก่อน จัดซื้อจัดจ้างที่ไม่จำเป็นพักไว้ก่อน แล้วนำมาสู้โควิด เอาให้คนรอดก่อน ผมไม่รู้ว่า งบลงทุน หรือการสร้างสะพานช้าไปเป็นปีใครจะตายกันไปบ้าง คงมีแต่ผู้รับเหมาเท่านั้นเดือดร้อน จึงฝากให้กันให้คิดว่า มาตรการเงินกู้เอาไว้ที่หลังได้หรือไม่"
นายจตุพร กล่าวถึงไฟป่าในจังหวัดเชียงใหม่ว่า ตนได้ติดตามเพจของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ เห็นได้ชัดเจนในจังหวัดเชียงใหม่รวมถึงบางจังหวัดของภาคเหนือมีไฟป่าทวีความรุนแรง มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิต ซึ่งคนเหล่านี้เป็นเสมือนวีรชนในการทำหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งป่าและปีนี้ถือว่ารุนแรงในรอบหลายๆปีตนในฐานะคนเคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นครูดอยสอนหนังสือก็ไม่เคยเห็น ว่าไฟป่าจะหนักขนาดนี้ ค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานหลายเท่าดังนั้นก็เป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนจิตอาสาทั้งหลายที่ร่วมในการเข้าไปดับไฟป่าและต้องประณามคนที่มีหน้าที่ในการจุดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ทั้งนี้ จากที่ตนได้ติดตามการทำหน้าที่ของกรมอุทยาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมการคิดเรื่องการดับไฟป่านั้น จะต้องยกเครื่องกันอย่างมโหฬารรัฐมนตรีกระทรวงทรัพย์ฯ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ซึ่งเป็นคนหนุ่มจะต้องคิดว่าในต่างประเทศที่เจอหนักกว่าเมืองไทยนั้นมีอุปกรณ์ที่มาตรฐานกันอย่างไร
"วันนี้เมื่อเจอเรื่องใหญ่เราเองยังไม่เท่าทันและไม่พร้อมที่จะเจอเรื่องใหญ่ ดังนั้น รัฐต้องจัดให้เพียงพอ ไม่ใช่รอรับแต่บริจาคจากประชาชนจนมีคนตั้งคำถามว่า จะให้ประชาชนบริจาคกันทุกเรื่องเลยหรือแล้วภาษีที่ประชาชนจ่ายไปหายไปไหน"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี