‘ธีระชัย’ชี้วิกฤติ‘โควิด’ไทยหนักเท่าอิตาลีเดาเกินจริง แนะผ่อนปรน‘กทม.’ให้SMEอยู่ได้
6 เมษายน 2563 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง เขียนบทความ “สมรภูมิกรุงเทพ vs สมรภูมิต่างจังหวัด” เกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ตามที่มีการพยากรณ์เรื่องไทยจะมีสภาพเลวร้ายเหมือนอิตาลีคงเป็นเรื่องเกินจริง แต่ในทางกลับกันเมื่อกรุงเทพมหานคร (กทม.) เลือกใช้ยาแรงด้วยการปิดห้างและสถานที่อื่นๆ เกือบหมด ทำให้เกิดปัญหาชาวต่างจังหวัดที่มาทำงานใน กทม. แห่กลับภูมิลำเนา สถานการณ์จึงลุกลามไปทั่วประเทศ พร้อมกับเสนอแนะว่าหากหลังจากนี้ยอดผู้ติดเชื้อรายวันใน กทม. ยังไม่เพิ่มมาก ก็น่าจะผ่อนคลายมาตรการบ้าง ดังนี้..
“ประเทศที่ปล่อยแพร่เชื้อโควิดกระจายวงกว้างไปแล้ว เช่น ยุโรป สหรัฐ มีทางเลือกเดียวคือ ต้องใช้ยาสลบ (Total 24H lock down) ทำให้เศรษฐกิจตายชั่วคราว ประเทศตะวันตกจ่ายชดเชยแรงงาน เพื่อหยุดการเคลื่อนย้าย ประเทศโลกที่สามช่วยได้เพียงบางส่วน แรงงานกลับท้องถิ่น ทำให้ระบาดทั่วประเทศ สำหรับไทย เดิมการแพร่เชื้อไม่ได้กระจายกว้าง รัฐบาลเลือกไม่ปิดพรมแดน ไม่ปิดสนามมวย ไม่ปิดสถานบันเทิง ไม่ห้ามอยู่ใกล้ชิดเกิน 2-3 คน มาเลเซียและอินโดนีเซียก็สบายๆ เช่นกัน ไม่ห้ามพิธีศาสนาไม่ว่าเล็กหรือใหญ่”
“จนกระทั่งในไทยมี group transmision สองกลุ่ม ชาวมุสลิมที่ไปร่วมพิธีวาดะห์เมื่อ 2 มี.ค. และในสนามมวยเมื่อ 6 มี.ค. ทำให้ตัวเลขทะลุ 100 เมื่อ 15 มี.ค. (รูป 1 ลูกศรสีน้ำเงิน) นักสถิติเอาตัวเลขไปเข้าสมการโมเดล พยากรณ์ว่าไทยจะเหมือนอิตาลี (เพิ่ม 33%/วัน รูป 2 เส้นประสีแดง เริ่มจากลูกศรสีเหลือง)”
“ในวันที่ 20 มี.ค. รัฐบาลไทยมียาเลือก 3 ชุด ยาสลบ:- Total 24H lock down ยานอนหลับ:- ปิดสนามมวย ห้ามกีฬาทุกชนิด ปิดสถานบันเทิง ปิดห้าง ปิดร้านค้าปลีก ออกกฎหมายฉุกเฉิน ปิดพรมแดน ยาชา:- ปิดสนามมวย ห้ามกีฬาในห้องแอร์ ปิดสถานบันเทิง ไม่ปิดห้างหรือร้านค้าปลีก แต่บังคับให้ทุกคนใส่หน้ากากผ้าเมื่อออกจากบ้าน เคอร์ฟิวกลางคืน ปิดพรมแดน”
“กรณีใช้ยาชา เศรษฐกิจจะพอประคองได้ ถ้าประชาชนมีวินัย ก็หยุดแค่นี้ แต่ถ้าไม่มีวินัย ค่อยปรับเป็นยานอนหลับในภายหลังได้ ปรากฏว่ารัฐบาลเลือกใช้ยานอนหลับไปเลย ซึ่งน่าจะเนื่องจากพยากรณ์ที่น่ากลัวดังกล่าว ถ้าหากวิเคราะห์ได้ชัดเจนว่าตัวเลข 15-20 มี.ค. กระโดดขึ้นจากเหตุการณ์เฉพาะ ถามว่าพยากรณ์ไทยเหมือนอิตาลี สมเหตุผลหรือไม่? ผมเห็นว่าไม่สมเหตุผล”
“ถ้าดูเฉพาะตัวเลขกรุงเทพรายวัน ตัดตัวเลขพีคในวันที่ 29 มี.ค. (ซึ่งน่าจะเกิดจากคนออกไปเบียดเสียดเพื่อซื้อของก่อนปิดห้าง) จะเห็นได้ว่าล่าสุดได้ลดลงไปต่ำกว่า 50 ดังเดิมแล้ว (รูป 1 ลูกศรสีม่วง) ตัวเลขที่ลดลง ไม่ได้เกิดจากการปิดห้างอย่างแน่นอน เพราะการปิดห้างไม่สามารถไปลดการแพร่กระจายที่เกิดขึ้นไปแล้วก่อนหน้า การปิดห้างเมื่อ 22 มี.ค. จะลดตัวเลขต่อเมื่อพ้น 5 เม.ย. ไปแล้ว เพราะมี timelag แสดงอาการและทดสอบ 14 วัน”
“สรุปแล้ว ตัวเลขของกรุงเทพที่ลงต่ำกว่า 50 นั้น แสดงพฤติกรรมระมัดระวังของคนส่วนใหญ่ในกรุงเทพซึ่งมีอยู่แล้ว ส่วนการปิดห้าง กลับทำให้ตัวเลขกรุงเทพกระโดดขึ้นไปชั่วคราว น่าเสียดาย ถ้าหากรัฐบาลได้เลือกยาชา ก็จะไม่เกิดปัญหาผึ้งแตกรัง แรงงานกระจายกลับไปต่างจังหวัด ซึ่งกำลังจะกลายเป็นสมรภูมิใหญ่ทั่วประเทศ แทนที่โควิดจะจบเร็วขึ้น บัดนี้ก็เลยกลายเป็นจบช้าลง”
“ผมวิเคราะห์ย้อนหลังเพื่อชี้ให้เห็นว่า มาตรการสำหรับกรุงเทพต้องแยกจากต่างจังหวัด และสำหรับกรุงเทพ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาสลบ นอกจากนี้ ข้อมูลล่าสุดแสดงว่ามีคนติดเชื้อ และแพร่เชื้อ โดยพวกนี้ไม่แสดงอาการเลย มีอยู่จำนวนมากทุกประเทศ ดังนั้น ถ้าไม่ทดสอบแบบปูพรม ภายหลังก็จะแพร่เชื้อกระจายอีก สลบแล้ว ต่อไปก็ต้องสลบอีก ไม่รู้จะอีกกี่ครั้ง!”
“ในทางกลับกัน ถ้าหลัง 5 เม.ย. ตัวเลขกรุงเทพต่ำกว่า 50 ไปเรื่อยๆ ก็ควรเปลี่ยนจากยานอนหลับ ลดไปเป็นยาชา ซึ่งจะช่วยลดความเดือดร้อนต่อ SMEs และแรงงานที่ยังเหลืออยู่ได้มาก แต่ก็ต้องระงับคนไม่ให้เคลื่อนย้ายกลับกรุงเทพไว้ระยะหนึ่ง (เพิ่มเติม:- ประเทศเอเซียบางประเทศ ประชาชนมีนิสัยระมัดระวังอยู่แล้ว และเริ่มมาตรการป้องกันตั้งแต่มีข่าวระบาดในจีน ก็ไม่จำเป็นต้องไปถึงขั้นใช้ยานอนหลับ หรือยาสลบ ซึ่งจะลากยาวสถานการณ์โดยไม่จำเป็น)”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี