เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความ "หมอ ทหาร และเชื้อไวรัส" เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว "Anusorn Unno" กล่าวถึงการสร้างกระแสในสังคมไทย ให้เห็นว่าวิกฤติการระบาดของไวรัสโควิด-19 เปรียบเสมือนสงคราม บุคลากรทางการแพทย์คือทหารนักรบ และอุปกรณ์ทางการแพทย์คืออาวุธยุทโธปกรณ์ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นชี้ให้เห็นถึงความเคยชินในวิธีคิดแบบอำนาจนิยมและต้องระมัดระวัง ดังนี้
"นักทฤษฎีด้านอำนาจคนหนึ่งเสนอว่าสถาบันเบ็ดเสร็จจำพวกคุก โรงพยาบาลบ้า และค่ายทหาร ต่างมีวิถีอำนาจหลักเหมือนกันคือวินัย ภายใต้สถาบันเหล่านี้ ผู้คุม จิตแพทย์ และนายทหาร จะใช้อำนาจในการปรับเปลี่ยนนักโทษ คนบ้า และพลทหารให้มีความเชื่องเชื่อและใช้ประโยชน์ได้ โดยอาศัยแหล่งอ้างอิงการใช้อำนาจต่างกันออกไป เช่น จิตแพทย์อาศัยอำนาจจากวิชาจิตเวชศาสตร์ในการบำบัดรักษาคนบ้า ขณะที่นายทหารอาศัยอำนาจจากสายบังคับบัญชาในการฝึกฝนพลทหาร พวกเขาจึงคุ้นเคยกับการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จภายในสถาบันของตนเหมือนกัน"
"สังคมไทยพิเศษตรงที่สนับสนุนให้บุคคลเหล่าใช้อำนาจเบ็ดเสร็จด้านนอกสถาบันเพราะเป็นสังคมที่นิยมอำนาจ นอกจากจะเป็นอาชีพที่ได้รับการยกย่องและยำเกรงในสภาวะปกติ เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ขึ้นมาพวกเขามักจะถูกเรียกร้องให้เข้ามาแก้ไขโดยใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือ เราจึงเห็นการใช้คำเรียกพวกเขาสลับหรือแทนที่กันได้ในการระบาดของไวรัสครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกบุคลากรทางการแพทย์ว่า “นักรบชุดขาว” “อัศวินเสื้อกาวน์” การเรียกการรักษาพยาบาลว่า “สู้ศึก” หรือการเรียกอุปกรณ์ทางการแพทย์ว่า “อาวุธ” การเปรียบเปรยเหล่านี้แม้จะต้องการสร้างความฮึกเหิม ยกย่อง และให้กำลังใจ แต่ก็สะท้อนให้เห็นลักษณะอำนาจนิยมของสังคมไทยที่ต้องการให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการคลี่คลายปัญหาเหมือนกับทหาร"
"ในทำนองเดียวกัน การที่โฆษก ศบค. มักเปรียบเปรยการรับมือสถานการณ์การระบาดของไวรัสกับการทำศึกสงคราม อย่างการเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดว่า “พ่อเมือง” เรียกการระบาดว่า "ตีค่าย" และเรียกการตรวจพบผู้ติดเชื้อในแต่ละจังหวัดว่า “ป้อมแตก” จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการสร้างสีสันและความเป็นกันเองในการแถลงข่าว หากแต่เป็นการเลือกใช้คำศัพท์หรือสำนวนที่เข้าถึงหรือโดนใจคนในสังคมที่ต้องการเห็นการใช้อำนาจเด็ดขาดในยามวิกฤติ ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่าเพราะความที่เป็นจิตแพทย์ เขาจึงคุ้นเคยและเห็นความคล้ายคลึงของการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จภายในโรงพยาบาลบ้าและค่ายทหาร และไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจหากสังคมหรือสื่อจะใช้ศัพท์แสงทางการศึกสงครามมาเรียกปฏิบัติการทางการแพทย์แทน ไม่นับรวมความใกล้ชิดรัฐบาลด้วยเหตุผลทางการเมืองที่ทำให้ระยะหลังเขาแสดงบทบาทเป็นโฆษกส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีอดีตทหารรวมถึงรัฐบาลมากเข้าไปทุกที"
"ว่ากันว่าวิกฤติเผยให้เห็นธาตุแท้ของสังคม การระบาดของไวรัสครั้งนี้ก็เผยให้เห็นธาตุแท้ของสังคมไทยอีกครั้งโดยเฉพาะในด้านอำนาจนิยม แต่ที่ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมาก็คือว่ามันได้ดึงเอาอำนาจเบ็ดเสร็จของแพทย์ที่ปกติจะจำกัดอยู่ในสถาบันให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับอำนาจเบ็ดเสร็จของทหารในบริบทของ “การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน” ซึ่งหากเราไม่ตระหนักหรือว่าไม่ระมัดระวังพอ เราก็จะกลายเป็น “ผู้ป่วย” ที่ไม่มีวันหายและตกอยู่ภายใต้การบงการของอำนาจเบ็ดเสร็จเหล่านี้ไม่มีที่สิ้นสุด"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี