เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2563 นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวในเวทีแถลงข่าวของสภาที่ 3 เรื่องข้อเสนอต่อรัฐบาลในสถานการณ์โควิดว่า ดูเหมือนว่า การที่นายกรัฐมนตรีเชิญ 20 มหาเศรษฐีมาร่วมช่วยแก้ปัญหาโควิดอาจเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน เนื่องจากรัฐบาลกำลังจะให้ ธปท.ไปค้ำประกันตราสารหนี้ 4 แสนล้านบาท ซึ่งบรรดาเจ้าสัวและมหาเศรษฐีทั้ง 20 กลุ่มคนล้วนอาจได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบายนี้ร่วมกัน เพราะรัฐบาลมีอำนาจที่จะไปบังคับ กำกับ ดูแลสินค้าอุปโภค-บริโภคทั้งหลายให้มีราคาต่ำลงได้อยู่แล้ว รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้าอย่างเข้มแข็ง การปรึกษาหารือต้องรอดูว่า มีความร่วมมือในระดับไหน มีการแลกเปลี่ยนโครงการหรือผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ และการกู้เงิน 1 ล้านล้านบาทจะนำไปใช้จ่ายส่วนใดบ้าง
“การแก้ปัญหาการผูกขาดทางเศรษฐกิจนอกจากการเก็บภาษีทรัพย์สินอัตราก้าวหน้าแล้ว รัฐบาลควรเข้ายึดครองกิจการที่เป็นผลประโยชน์สาธารณะ และบริการพื้นฐานของสังคม เช่น พลังงาน ไฟฟ้า ขนส่งมวลชนสาธารณะขนาดใหญ่ ฯลฯ เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงบริการพื้นฐานที่ราคาถูก มหาเศรษฐีบางคนก็ร่ำรวยจากการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. และเข้าไปเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทลูก มีอิทธิพลในการกำหนดราคา แล้วรัฐบาลจะควบคุมราคาไฟฟ้าให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิในบริการขั้นพื้นฐานได้อย่างไร เรื่องการใช้ไฟฟ้าราคาแพง ค่าเอฟทีที่บวกเพิ่ม รัฐบาลต้องแทรกแซงและดูแลกิจการที่เป็นผลประโยชน์สาธารณะ และบริการพื้นฐานอย่างจริงจัง เพราะเป็นความมั่นคงของประเทศ อย่าให้สถานการณ์วิกฤตนี้กลายเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มทุนได้กอบโกยผลประโยชน์โดยรัฐบาลทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่” เลขาฯ ครป. กล่าว
นายเมธา กล่าวต่อว่า อะไรที่รัฐบาลทำไปสำเร็จแล้ว ก็ขอชมเชย และสิ่งที่รัฐบาลควรทำเพิ่มเติมคือ ขอให้รัฐบาลควบคุมราคาสินค้าบริโภค-บริโภค อย่าให้บรรดาเจ้าสัวได้ประโยชน์กลุ่มเดียวจากวิกฤต และขอให้รัฐบาลลดราคาค่าไฟฟ้าและลดราคาน้ำมันลงอีก เพราะนโยบายรัฐบาลกำหนดให้อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ แต่ค่าไฟกลับแพงขึ้นกว่าเท่าตัวโดยที่ไม่รายได้แล้วเขาจะอยู่อย่างไร นอกจากนี้ ราคาน้ำมันบ้านเรายังสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก ทั้งที่รัฐบาลได้ลดการเก็บภาษีสรรพสามิตลงแล้ว ดังนั้นควรลดราคาขายแอลกอฮอล์ทำความสะอาดลงด้วย เนื่องจากพบว่ามีการกักตุนไปขายเกินราคาจำนวนมาก รวมถึง ปตท.ก็ยังประกาศขายลิตรละ 110 บาท ทั้งที่ราคาขายหน้าโรงงานเอทานอลอยู่ที่ 30-40 บาทเท่านั้น
สำหรับการช่วยเหลือประชาชนโดยใช้กองทุนประกันสังคม ขณะนี้ประชาชนเห็นด้วยจำนวนมากที่จะให้รัฐบาลจ่ายเงินสะสมประกันสังคมที่จะได้รับในวัยชรา หรือเงินบำเหน็จ-บำนาญคืนให้ผู้ประกันตนที่ร้องขอก่อนในอัตรา 50% เนื่องจากเงินจำนวนนี้มีถึง 1.8 ล้านล้านบาท เพราะบางคนคิดว่าอาจไม่มีชีวิตยืนยาวอยู่ถึงอายุ 55 ที่จะได้รับสิทธิ์เหล่านี้จากเงินสะสมของตัวเอง ขณะที่สัดส่วนที่นำมาใช้ในกองทุนประกันการว่างงานมีเพียงแค่ 1.7 แสนกว่าล้านเท่านั้น แต่ปัญหาสำคัญคือ ปัจจุบันเงินกองทุนประกันสังคมทั้งหมดกว่า 2.2 ล้านล้านบาทที่ประชาชนสะสมมากว่า 30 ปีนับตั้งแต่ปี 2533 ยังอยู่ดีหรือไม่หรือหายไปไหน รัฐบาลจะต้องตอบคำถามว่าได้ยืมเงินกองทุนประกันสังคมไปใช้จ่ายจำนวนมากจนขาดสภาพคล่องจริงหรือไม่ และเพราะเหตุใดจึงจ่ายเงินสมทบจากภาครัฐเข้ากองทุนล่าช้ามานานจนปัจจุบันคงค้างจ่าย 9 หมื่นกว่าล้านบาท ทั้งๆ ที่มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบตามกฎหมาย
“ผมอยากตั้งคำถามว่า ประกันสังคมให้รัฐบาลยืมไปใช้จ่ายโดยผิดกฎหมายจำนวนเท่าไหร่กันแน่ และสัดส่วนที่เอาไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ 3-4 แสนล้านบาท มีความเสียหายหรือไม่อย่างไรและใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อเศรษฐกิจเจ๊งและหุ้นตก นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการประกันสังคมจะต้องตอบคำถามประชาชนว่า เงินของคนทำงาน 10 กว่าล้านคนอยู่ที่ไหนบ้าง” เลขาฯ ครป. กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี