“จิราพร” เตือนรัฐบาล ฉวยโอกาสเข้า “CPTPP” ช่วงวิกฤตโควิด ทำไทยเสียเปรียบหลายเรื่อง กระทบเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางอาหาร การจัดการอุปกรณ์การแพทย์
เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2563 น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 5 พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ คณะรัฐมนตรีเตรียมพิจารณาให้ความเห็นชอบการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค หรือ CPTPP ในวันที่ 28 เม.ย. 2563 ว่า หากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบก็ไม่ต่างอะไรกับการผลักไทยให้ทำการค้าแบบเก่าท่ามกลางบริบทโลกที่เปลี่ยนไป ซ้ำยังจะสร้างผลกระทบต่อการบริหารจัดการอุปกรณ์ทางการแพทย์ และความมั่นคงทางอาหารของไทยในอนาคต ที่ผ่านมา หลายฝ่ายได้เตือนรัฐบาลว่าการเข้าร่วม “ความตกลง CPTPP” จะทำให้ไทยเสียเปรียบและส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางการค้าและเศรษฐกิจของประเทศ แต่รัฐบาลก็นิ่งเฉยไม่สนใจคำตักเตือนดังกล่าว และยิ่งในปัจจุบัน วิกฤตโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกเปลี่ยนไปอย่างมาก หลายประเทศเริ่มตระหนักรู้ถึงการทบทวนนโยบายด้านการค้าให้ทันต่อเหตุการณ์ แต่รัฐบาลไทยกลับทำตรงข้ามและคิดแบบเดิมๆ ที่จะเข้าร่วม CPTPP ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีที่เริ่มหารือกันมาหลายปีแล้ว การที่รัฐบาลทำเพื่อผลประโยชน์สำหรับบางกลุ่มและธุรกิจต่างชาติ และให้ข้อมูลด้านเดียวโดยอ้างผลการศึกษาเก่าที่เริ่มต้นศึกษามาหลายปี ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 แสดงถึงความไม่จริงใจต่อประชาชน
น.ส.จิราพร กล่าวว่า นอกจาก CPTPP จะสร้างผลกระทบให้กับไทยในหลายด้าน เช่น วิถีการทำการเกษตร ระบบสาธารณสุข การเปิดให้นายทุนต่างชาติมีอิทธิพลเหนือกิจการรัฐวิสาหกิจไทย แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ รัฐบาลไม่รู้จักถอดบทเรียนจากวิกฤตโควิด-19 เช่น ข้อบทด้านการลงทุนใน CPTPP ที่ให้สิทธิต่างชาติฟ้องร้องไทยผ่านกลไกอนุญาโตตุลาการนอกประเทศได้ และลดอำนาจหน่วยงานไทยในการบริหารการลงทุน การนำเข้าและส่งออก รวมถึงการห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขต่อนักลงทุนต่างชาติเพื่อประโยชน์ของประเทศ ซึ่งในอนาคตหากเกิดวิกฤตโรคระบาดแบบโควิด-19 อีก จะทำให้ไทยไม่สามารถบริหารจัดการสินค้าจำเป็นได้ เช่น หน้ากากอนามัย อุปกรณ์ทางการแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศได้ ดังเช่นเมื่อครั้งที่มีการแถลงข่าวของ ศบค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมายอมรับว่าไทยจำเป็นต้องส่งออกหน้ากากอนามัยไปต่างประเทศแม้ว่าอยู่ในช่วงขาดแคลน เพราะต้องปฏิบัติตามความตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ข้อบทเรื่องการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV1991) ยังจะสร้างผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านอาหารของไทยด้วย ดังนั้นการดึงดันเข้า CPTPP โดยขาดการพิจารณาอย่างรอบคอบจะทำให้วิกฤตที่เกิดขึ้นในตอนนี้กลายเป็นมหาวิกฤตในอนาคตได้
“วิกฤตโควิด-19 ได้เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจโลกไปแล้วโดยสิ้นเชิง การทำความตกลงทางการค้าจะต้องปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยสอดรับกับสภาวะปัจจุบันและรองรับความเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต หากรัฐบาลดึงดันจะเข้าร่วม CPTPP ทั้งๆ ที่ไทยอยู่ในฐานะเสียเปรียบหลายอย่าง นอกจากจะสะท้อนว่ารัฐบาลไม่ได้มองไปข้างหน้าแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนเลยแม้แต่น้อย” น.ส.จิราพร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี