โพลล์เทใจให้บิ๊กตู่
ทุ่มเททำงานแก้โควิด-19
บิ๊กป้อมสั่งลูกทีมลงพื้นที่
ช่วยเหลือเยียวยาชาวบ้าน
ผลสำรวจซูเปอร์โพลเปิดผลสำรวจประชาชนเทใจให้ นายกฯ“บิ๊กตู่” ความตั้งใจทุ่มเทแก้ปัญหาโควิด-19 เต็มที่ ด้าน “บิ๊กป้อม”กำชับ สส.-อดีตผู้สมัคร พปชร.ลงพื้นที่ช่วยชาวบ้านหลังคลื่นใต้น้ำสงบลงแล้ว ส่วนพาณิชย์เดินหน้าลดราคาสินค้า ด้าน ก.เกษตรฯ ไฟเขียว เกษตรกรผู้มีอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหม ตรวจสอบสิทธิการรับเงินเยียวยา
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เปิดผลสำรวจเรื่อง เหลียวหลังแลหน้าขจัดโควิด-19 กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,126 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 25 เมษายน–1 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา
โดยการประเมินการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในด้านต่างๆตั้งแต่เริ่มมีการรระบาดของโควิด-19จนถึงปัจจุบัน คะแนนเต็ม 10พบว่า ประชาชนให้คะแนนความตั้งใจทุ่มเททำงานแก้ปัญหา 8.24 คะแนน รองลงมาคือ เกาะติดใส่ใจแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 7.85 คะแนน ส่วนด้านอื่นๆได้คะแนนผ่านแบบเฉียดฉิวและคาบเส้นได้แก่ มาตรการต่างๆขณะแก้ปัญหา ได้ 5.29 คะแนน การเยียวยาฟื้นฟูได้ 5.02 คะแนน และการเตรียมการรับมือปัญหาได้ 5.01 คะแนน
‘สนธิรัตน์-อุตตม’โดดเด่นลดภาระปชช.
ขณะที่ รัฐมนตรี มีผลงานลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนช่วงโควิด-19 พบว่า นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ลดค่าไฟ ลดราคาน้ำมัน แจกแอลกอฮอล์ และอื่น ๆ ได้ร้อยละ 53.8 รองลงมาคือ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แจกเงิน ลดภาษี และอื่น ๆ ได้ร้อยละ 51.2 ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลดค่าไฟ ช่วยค่าน้ำประปา และอื่นๆ ได้ร้อยละ 43.3 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ช่วยเหลือเกษตรกร แจกเงิน แก้ภัยแล้ง ได้ร้อยละ 12.9และ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แจกหน้ากากอนามัย และอื่น ๆ ได้ร้อยละ 11.8 ตามลำดับ
คนไทยร่วมมืออยู่บ้านหยุดเชื้อมากสุด
ส่วนสิ่งที่คนไทยทำในการร่วมขจัดปัญหาโควิด-19 ได้ดีกว่าประเทศอื่น ๆ พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.8 ระบุ ประชาชนทำตามมาตรการ อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ได้ดี รองลงมาคือ ร้อยละ 75.0 ระบุ ประชาชนหัวใจคุณธรรม ช่วยเหลือเกื้อกูลดูแลกันเอง ร้อยละ 69.4 ระบุ คนไทยตื่นตัว ตระหนัก ป้องกันตนเอง ใส่หน้ากากอนามัย มีเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อตามจุดต่าง ๆ ร้อยละ 65.6 ระบุ คนไทยเชื่อฟัง และทำตามมาตรการต่าง ๆ ของ รัฐบาล และ ร้อยละ 53.9 ระบุ รัฐบาลจัดการได้ดี
คลังเผยยอดทบทวนสิทธิ์พุ่ง4.8ล้าน
ด้าน นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้ที่เคยยกเลิกการลงทะเบียนด้วยความเข้าใจผิด ยื่นคำร้องทบทวนสิทธิ โดยใช้ปุ่มสีม่วง“ยื่นทบทวนสิทธิแล้ว 4.8 ล้านคน ทั้งนี้ขอให้ผู้ลงทะเบียนเข้าไปตรวจสอบสถานะที่เว็บไซต์“เราไม่ทิ้งกัน”เพื่อจะได้ทราบว่าผ่านเกณฑ์และได้รับสิทธิหรือไม่เพราะขณะนี้ระบบได้นำข้อมูลผู้ที่ได้รับสิทธิมากกว่า 10 ล้านคน เข้าในระบบแล้ว ทำให้ยอดได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นทุกวัน
ทีมพิทักษ์สิทธิ์ลุยทำงานไม่วันหยุด
โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่าในขณะที่ทางกระทรวงคลังยังส่งทีมผู้พิทักษ์สิทธิ์ทั้งกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานสังกัดกระทรวงคลัง ลงพื้นที่ตลอดต่อเนื่องทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการจนกว่าเสร็จสิ้นภารกิจเพื่อติดตามข้อมูล เป็นประโยชน์ของประชาชนในส่วนที่ผู้ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองมาตรการเยียวยา 5,000บาทโดยยอมรับว่าเมื่อเปิดให้ทบทวนสิทธิ์ได้จึงทำให้จำนวนผู้ขอทบทวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงตลอด ทำให้ทีมผู้พิทักษ์สิทธิ์ต้องใช้เวลามากขึ้นในการลงพื้นที่
เพิ่มปุ่ม’สีเหลือง’แก้ข้อมูลรับเงิน
สำหรับผู้ได้รับสิทธิ แต่มีปัญหาเงิน ยังไม่เข้าบัญชีแสดงว่าบัญชีถูกปิดทั้งจากบัญชีไม่มีการเคลื่อนไหวนานเกิน1ปีหรือบัญชีไม่ตรง ซึ่งเป็นได้ ทั้งชื่อ นามสกุล เลขที่บัญชี หรือ ชื่อธนาคารไม่ตรงกับชื่อผู้ลงทะเบียน ขอให้ผู้ลงทะเบียน เข้ามาแก้ไขตรงปุ่ม”สีเหลือง“เปลี่ยนแปลงข้อมูลการรับเงิน”ระบบจะตรวจสอบว่าบัญชีถูกต้องแล้วหรือไม่ และพร้อมโอนเงินให้ในรอบถัดไปโดยเน้นจ่ายเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ผูกกับเลขบัตรประชาชน
โฆษก พปชร.ชี้ปัญหาภายในจบแล้ว
นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)กล่าวถึงปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐว่าคงไม่มีอะไรแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย เพราะพรรคเป็นสถาบันทางการเมือง อาจมีความเห็นต่างกันบ้าง แต่ไม่ถึงกับแตกแยก เมื่อผู้ใหญ่พูดคุย อธิบายเหตุผลกันทุกอย่างก็จบ ขณะนี้ เป็นเวลาที่ทุกคน จะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาโควิด-19 ทุกฝ่ายจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าวิกฤตครั้งนี้ ไปให้ได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา ส.ส.พลังประชารัฐ ทุกคนต่างลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอยู่ทุกวัน งดเว้นการตอบโต้ทางการเมือง
บิ๊กป้อมสั่งลูกพรรคลงฟังเสียงปชช.
ขณะที่น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐมอบนโยบายให้ ส.ส.และอดีตผู้สมัครของพรรคลงพื้นที่อย่างหนัก รับฟังเสียงสะท้อนของประชาชน รับเรื่องร้องเรียนปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ เพื่อนำมาหารือกับ พล.อ.ประวิตร และพรรคพลังประชารัฐ เพื่อรวบรวมนำไปเสนอต่อรัฐบาลให้เร่งแก้ไขโดยเร่งด่วนปรับปรุงมาตรการต่างๆรวมทั้งปรับปรุงนโยบายให้เข้าถึง และช่วยเหลือประชาชนให้มากยิ่งขึ้น
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้จะมีแนวโน้มที่ดีจากตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่อยู่ในอัตราต่ำสิบต่อเนื่อง แต่จะมีบทพิสูจน์สำคัญหลังวันที่ 3พ.ค.ที่จะมีการผ่อนปรนให้กิจการและกิจกรรม 6 ประเภท สามารถเปิดบริการได้ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ประกอบการและประชาชนปฏิบัติตามมาตรฐานกลางที่ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. จะกำหนดมา
พณ.เตรียมเปิดลดราคาช่วยปชช.ล๊อต3
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าได้ ติดตามโครงการ “พาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน”ล็อต 2 โดยลงพื้นที่ ห้างสรรสินค้า “บิ๊กซี”จังหวัดพังงา พบว่าประชาชนได้รับประโยชน์ ซื้อสินค้าได้ราคาถูก เพราะห้างฯทั้งหมด 13 แห่งที่ร่วมโครงการ นอกจากจะเป็นห้างค้าปลีกแล้วก็เป็นห้างค้าส่งด้วย ดังนั้น ร้านธงฟ้า ร้านขายของชำ โชห่วยในหมู่บ้าน ตำบล ก็สามารถมาซื้อสินค้า ที่ราคาลดลงไปขายให้ประชาชนในราคาต่ำ นับเป็นการช่วยประชาชนปลายทางสามารถซื้อ สินค้าราคาถูกลง ทั้งนี้ โครงการ“พาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน”ล็อต 2 มีสินค้าที่มาร่วมลดราคากับกระทรวงพาณิชย์ 3,025 รายการ ใน 13 ห้างฯ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยลดราคาสูงสุดถึงร้อยละ 68 ตั้งแต่วันที่ 25 เมษายนจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน
นายจุรินทร์ กล่าวว่าก ระทรวงพาณิชย์ กำลังจะทำโครงการนี้ “ล็อตที่3” คือนอกจากห้าง 13 ห้างที่เป็นห้างระดับประเทศแล้วมาร่วมลดราคาแล้วยังมีห้างท้องถิ่นที่ผู้ประกอบการไม่ได้เป็นนักธุรกิจระดับชาติ แต่เป็นนักธุรกิจท้องถิ่นที่เปิดห้างอยู่ในจังหวัดต่างๆที่สนใจมาร่วมลดราคากับกระทรวงพาณิชย์ด้วย โดยมอบให้กรมการค้าภายในได้รีบเจรจากับห้างท้องถิ่น เพื่อช่วยกันทำรายการที่จะมาร่วมลดราคากับ คาดว่าจะได้ความชัดเจนในเร็วๆนี้
ช่วยเกษตรกรหม่อนไหม
ด้าน นายวสันต์ นุ้ยภิรมย์ อธิบดีกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563 เห็นชอบมาตรการเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ครัวเรือนละ 15,000 บาท รวม 10 ล้านครัวเรือน วงเงินรวม 1.5 แสนล้านบาท โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอจ่ายรวม 3 เดือน เดือนละ 5,000 บาท ซึ่งเกษตรกรจะต้องยื่นจดทะเบียนภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 นั้น ในส่วนของการจดทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ล่าสุดจากการประชุมหารือกับนายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ข้อสรุปว่าขณะนี้เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมที่จดทะเบียนกับกรมหม่อนไหมยังไม่สามารถใช้รับเงินเยียวยาเกษตรกรดังกล่าวได้ เนื่องจากมติของรัฐบาลให้ใช้ผลการจดทะเบียนของกรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง และกรมปศุสัตว์ เท่านั้น
ทั้งนี้ เกษตรกรต้องมีพื้นที่ปลูกหม่อน หรือเลี้ยงไหม ส่วนเกษตรกรที่ทอผ้าไหมและกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่มีแปลงหม่อน กรมส่งเสริมการเกษตรไม่รับจดทะเบียน ดังนั้น เกษตรกรที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ให้เร่งตรวจสอบสถานะตัวเองด่วน หากยังไม่ได้จดทะเบียน ให้ไปจดทะเบียนที่ สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน ก่อนวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ส่วนเกษตรกรที่เจ้าของบ้านจดทะเบียนเกษตรกรไว้แล้ว จะจ่ายให้หัวหน้าครอบครัวเพียง 1 รายเท่านั้น และผู้ที่ไม่สามารถรับเงินช่วยเหลือเกษตรกรได้คือข้าราชการบำนาญ ผู้รับเงินประกันสังคม และผู้มีอาชีพอิสระ
“ทั้งนี้ กรมหม่อนไหมได้รวบรวมข้อมูลการจดทะเบียนเกษตรกร ที่จดทะเบียนกับกรมหม่อนไหม ณ วันที่ 30 เมษายน 2563 โดยได้ส่งรายชื่อผู้ปลูกหม่อน ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ทอผ้าไหมและกิจกรรมด้านหม่อนไหมอื่นๆ รวม จำนวน 39,904 ราย. ให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) พิจารณา เพื่อนำไปเทียบกับทะเบียนของกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะจ่ายเฉพาะผู้ที่เป็นหัวหน้าครัวเรือน ซึ่งอาจไม่ครบ 39,904 ราย ถ้ารายชื่อไปซ้ำกับเจ้าบ้าน ก็จะไม่ได้รับเงิน โดยจะได้รับเงินครอบครัวละ 1 รายเท่านั้น” อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าว
กำหนดสเปครับการช่วยเหลือ
อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวต่อไปว่า สำหรับการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมกับกรมหม่อนไหมนั้น กรมหม่อนไหมได้กำหนดระเบียบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหม โดยเกษตรกรจะต้องมีคุณสมบัติและอุปกรณ์แสดงการประกอบอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหม คือ เกษตรกรผู้ปลูกหม่อน จะต้องมีพื้นที่ปลูกหม่อน หรือ มีจำนวนต้นหม่อน ดังนี้ 1) ใบหม่อนสดเพื่อจำหน่ายใบ. ต้องมีพื้นที่/จำนวนต้น ไม่น้อยกว่า 1 งาน หรือ 250 ต้น 2) ใบหม่อนเพื่อทำชาหม่อน ต้องมีพื้นที่/จำนวนต้น ไม่น้อยกว่า 1 งาน หรือ 250 ต้น 3) หม่อนผลสด ต้องมีพื้นที่/จำนวนต้น ไม่น้อยกว่า 1 งาน หรือ 25 ต้น 4) ใบหม่อนสดเพื่อเลี้ยงไหมหัตถกรรม ต้องมีพื้นที่/จำนวนต้น ไม่น้อยกว่า 1 งาน หรือ 250 ต้น 5) ใบหม่อนสดเพื่อเลี้ยงไหมอุตสาหกรรม ต้องมีพื้นที่/จำนวนต้น ไม่น้อยกว่า 1 ไร่ หรือ 375 ต้น นอกจากนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงไหมต้องมีห้องเลี้ยง/โรงเลี้ยงไหม พร้อมอุปกรณ์การเลี้ยงไหมครบ และรวมทั้งเกษตรกรผู้ทอผ้าไหม ต้องมีกี่อย่างน้อย 1 ตัว พร้อมอุปกรณ์การทอผ้าไหมครบ โดยมีกี่เป็นของตนเอง และหรือเป็นของกลุ่ม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี