“ครป.”เห็นด้วยรมต.แรงงานจ่ายเงินทดแทนว่างงาน75% แนะเปลี่ยนบอร์ดประกันสังคม จี้รัฐบาลลดค่าไฟ ฉีกสัญญาไม่เป็นธรรม
นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ให้ความเห็นว่า รัฐบาลต้องลดค่าไฟฟ้าลงสำหรับครัวเรือนที่ไม่ใช่โรงงานอุตสาหกรรม ทำได้ง่ายๆ โดยการงดเก็บค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่าเอฟทีชั่วคราว และทบทวนค่าไฟฐานและอัตราก้าวหน้าที่เป็นธรรม
ปัจจุบันรัฐบาลกำลังทำผิดรัฐธรรมนูญ เพราะปล่อยให้เอกชนครอบงำการผลิตไฟฟ้าเกินครึ่งของประเทศ และเพิกเฉยต่อความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน แบ่งกันกินจนเละเทะ เขียนสัญญาไปได้อย่างให้ผูกขาดการซื้อขายไฟฟ้ากับโรงงานไฟฟ้าเอกชนในระยะยาวเป็น 20 ปี แล้วไปลดการผลิตของรัฐลงเพื่อประโยชน์เอกชน นี่เป็นขบวนการปล้นผลประโยชน์ชาติบ้านเมือง ถ้าไม่เจอปัญหาวิกฤตเราอาจมองไม่เห็นปัญหานี้ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ค่าไฟฟ้าแพงเกินไป กฟผ.เองก็กำไรปีละนับแสนล้านบาท ทั้งๆ ที่รัฐวิสาหกิจที่ดูแลสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานไม่จำเป็นต้องมีกำไรจากการขูดรีดประชาชน เพราะใช้เงินภาษีและทรัพยากรของรัฐ เช่นเดียวกับ โรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม ทำไมไม่มีกำไรที่เป็นตัวเงิน?
จริงๆ แล้วในภาวะวิกฤต รัฐบาลควรเข้าไปควบคุมกลไกตลาดและแทรกแซงธุรกิจในโครงสร้างพื้นฐานหลักที่ส่งผลต่อชีวิตประชาชน ตามหลัก Nationalization แม้แต่ในอังกฤษก็เคยทำ ควบคุมสินค้าอาหาร รัฐสามารถลดการผูกขาดของเอกชน แทรกแซงยึดคืนแม้แต่ธนาคารพาณิชย์ สายการบิน ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ไฟฟ้า ประปา น้ำมัน พลังงาน ขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ อาหารและยา ควรเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่รัฐดูแลและบริการสาธารณะ ส่วนรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่โครงสร้างพื้นฐานก็ปล่อยให้เอกชนแข่งขันไปโดยเสรีเป็นธรรม รัฐไม่จำเป็นต้องเข้าไปแข่งขัน หรือแบ่งปันเอกชนหากำไรจากส่วนต่างดังที่เป็นอยู่ ส่วนการบินไทยมีการสมคบคิดกันแปรรูปตั้งแต่แรก โดยใช้เงินรัฐซื้อเครื่องบินทิ้งไว้ ปล่อยให้เจ๊งแล้วขายให้เอกชน ทั้งที่เป็นความมั่นคงเส้นทางเดินอากาศและบริหารให้มีกำไรได้ เพราะการบินไทยมีทรัพย์สินมหาศาลสามารถยึดคืนมาเป็นของรัฐ ล้างระบบ และให้บริหารแบบเอกชนมืออาชีพ เพราะถ้าขายขาดทุนให้เอกชนเจ้าสัวไม่กี่กลุ่มก็รออยู่แล้ว
ปัจจุบันรัฐบาลไปผูกนโยบายสาธารณะและจัดโครงการต่างๆ ไปเอื้อประโยชน์กลุ่มนายทุนมหาเศรษฐีมากมายอย่างเห็นได้ชัด บางกลุ่มทุนรวยขึ้นแบบก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขอฝากให้ ป.ป.ง.เข้าไปตรวจสอบด้วย ว่ามีการทำธุรกิจการเมืองต่างตอบแทนกันอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ราคาไฟฟ้า ประปา น้ำมัน แก๊ส พลังงานต่างๆ ใครได้ประโยชน์ แม้แต่เรื่องน้ำประปาภายในประเทศ เอกชนรายหนึ่งก็กลายเป็นรายใหญ่กว่าการประปาส่วนภูมิภาคแล้ว รัฐบาลปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ในสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้อย่างไร
สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำไม่ใช่การไปอุ้มคนรวยที่รวยอยู่แล้ว ไม่ต้องไปค้ำประกันเงินกู้ให้ตราสารหนี้ต่างๆ เขามีเงินสำรองและสายป่านยาว แต่รัฐบาลจะต้องไปดูแลสถานประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางโดยเร็ว ให้พวกเขาเข้าถึงเงินทุนสำรองก่อนจะย่อยยับอับปาง ธนาคารจะต้องไม่มีส่วนต่างดอกเบี้ยที่สูงมากๆ จนกลายเป็นเหลือบในเวลานี้ โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม สถานบันเทิงต่างๆ จะต้องมีมาตรการระยะยาว เพราะเขาจะกลับมาได้ช้าที่สุดหลังวิกฤตการณ์โควิด สำหรับภาคแรงงานต้องดูแลสวัสดิการและหลังพิงในภาคเกษตรกรรมให้ดีในระยะยาว เพราะรัฐบาลกำลังจะจนลง ข้าวก็กำลังจะหมด อาหารการผลิตก็ติดปัญหาภัยแล้ง
เมื่อค่าไฟฟ้าและพลังงานน้ำมันถูกลงแล้ว เศรษฐกิจฐานล่างก็จะได้มีโอกาสเติบโตขึ้นด้วย หาไม่แล้วรัฐบาลจะกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลวในอนาคตภายหลังวิกฤตการโคโรนาไวรัส เมื่อปล่อยให้นายทุนเข้ามาหาผลประโยชน์จากสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ จนยากแก่การควบคุมจัดสรรทรัพยากรให้เกิดความเป็นธรรมได้ เมื่อรัฐบาลยากจนลง หนี้สินของประเทศที่ส่งต่อถึงรุ่นลูกรุ่นหลานและหลังพิงในภาคเกษตรกรรมทั้งหมดก็จะตกอยู่ภายใต้การบงการนโยบายสาธารณะของกลุ่มทุนในที่สุด
“ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของรัฐมนตรีแรงงานที่จะขยายเงินทดแทนกรณีว่างงานจากเงินประกันสังคมเป็นร้อยละ 75 แต่มติของบอร์ดประกันสังคมที่มีปลัดแรงงานเป็นประธานกลับไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ นับเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เอามติในห้องแอร์มากำหนดคุณค่าตีราคาความเดือดร้อนของประชาชนที่ทุกข์ยาก” เลขาธิการ ครป. กล่าว
ข้ออ้างที่ว่าจะกระทบต่อกองทุนประกันว่างงานและไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตนที่มีทั้งสิ้น 16 ล้านคนเศษนั้นฟังไม่ขึ้น เนื่องจากผู้ที่เอาเปรียบเขาอยู่คือบอร์ดประกันสังคมเอง ที่ไม่ทราบว่ากอดเงินของคนอื่นไปทำอะไรบ้าง เงินยังอยู่ครบหรือไม่ แค่เงื่อนไขผู้ประกันตนขอเงินคืน 50% จากเงินกองทุนสะสมวัยเกษียณที่มีอยู่ถึง 1.8 ล้านล้านบาท ทำไมไม่อนุญาต
นอกจากนี้กองทุนการว่างงานที่ค้างจ่ายอยู่จำนวนมาก ทำไมจ่ายกันช้าเหลือเกิน ผมได้รับการร้องเรียนว่า ผู้ประกันตนจำนวนมากทำเรื่องขอจากกองทุนการว่างงานตั้งแต่เดือนมีนาคม ปัจจุบันนี้ยังไม่ได้เงินสักบาท ซ้ำร้ายบางคนมีข้อความเข้ามาว่าจะได้รับเงินตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคมหลายคน แต่พอถึงวันกลับไม่มีเงินเข้าจนถึงวันนี้ ระบบอิเลคทรอนิกส์มีปัญหาหรืออย่างไร หรือมีคนชักเงินไปไหนกันแน่ ทำไมระบบมันเละขนาดนี้ รบกวนสื่อมวลชนช่วยตรวจสอบด้วย หากทำงานไม่มีประสิทธิภาพก็ควรปลดออกตั้งกรรมการบอร์ดและผู้บริหารชุดใหม่
ขณะเดียวกัน ครป. ได้ออกแถลงการณ์คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ฉบับที่ 4/2563
เรื่อง "ลดค่าไฟฟ้า หยุดสัญญาผูกขาดไม่เป็นธรรม"
สืบเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส ทำให้รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักรเพื่อใช้อำนาจเบ็ดเสร็จควบคุมจัดการแก้ไขปัญหาโรคอุบัติใหม่ โดยรวบอำนาจรวมศูนย์รัฐราชการไว้ในมือนายกรัฐมนตรีและมีมาตรการบังคับควบคุม กำหนดและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่งราชการและวิกฤตการทางเศรษฐกิจของประชาชนกลุ่มต่างๆ
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เห็นว่าในสถานการณ์วิกฤตนี้ รัฐบาลจะต้องดูแลประชาชนให้เข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในบริการสาธารณะด้านต่างๆ รวมถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เยียวยาผลกระทบจากการใช้อำนาจเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาวที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกรรมกรคนงานและสถานประกอบการขนาดเล็ก-ขนาดกลางที่มีสายป่านทางธุรกิจสั้นและมีความเสี่ยงต่อการย่อยยับอับปางให้เข้าถึงการช่วยเหลือด้านเงินทุน มากกว่าการช่วยเหลืออุดหนุนกลุ่มทุนซึ่งได้เปรียบจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว
ดังนั้น รัฐบาลควรใช้อำนาจเข้าไปดูแลควบคุมสินค้าอุปโภคบริโภคและสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อบริการสาธารณะ โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าให้มีราคาถูกลง ไม่ปล่อยให้กลุ่มทุนมาผูกขาดกำหนดนโยบายสาธารณะและหากำไรตักตวงผลประโยชน์จากวิกฤตประเทศในครั้งนี้ โดยเฉพาะอัตราค่าไฟฟ้าราคาแพงที่มีผลพวงมาจากสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ครป. มีข้อเสนอดังต่อไปนี้
ครป. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ โดยเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ของสัดส่วนการผลิตทั้งหมดเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของรัฐ โดยการลดสัดส่วนการผูกขาดของเอกชนในการผลิดไฟฟ้าลง เพื่อไม่ให้มีการแสวงหากำไรจากค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้นและไร้การควบคุม และเพื่อไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ ตามความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยมาตรา 56 ระบุว่า “รัฐต้องจัดหรือดําเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิต ของประชาชนอย่างทั่วถึงตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน โครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจําเป็นต่อการดํารงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ รัฐจะกระทําด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือทําให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละ 51 มิได้ การจัดหรือดําเนินการให้มีสาธารณูปโภคตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง รัฐต้องดูแลมิให้มีการเรียกเก็บค่าบริการจนเป็นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร”..
ปัจจุบันนี้ สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของเอกชนมีมากถึง 57% ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ผลิตไฟฟ้าเพียง 33% ส่งผลให้ความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าขึ้นอยู่กับการผลิตของเอกชน ทั้งที่ กฟผ.มีกำลังการผลิตจำนวนมากและปัจจุบันมีพลังงานไฟฟ้าสำรองกว่า 40% แต่ต้องซื้อไฟฟ้ากับเอกชนตามสัดส่วนการผลิตที่ไม่จำเป็น
ครป. ขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งกฟผ. ได้ทำกับเอกชนให้มีการซื้อขายจากโรงไฟฟ้าเอกชนในราคาที่กำหนดในระยะยาว ทั้งที่ กฟผ.มีกำลังการผลิตที่มากเกินพอ แต่มีการลดสัดส่วนการผลิตของรัฐลง เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตให้ภาคเอกชนโดยมีการ “ประกันรายได้” ในการรับซื้อขายในสัญญาอีกด้วย ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนได้กำไรจากสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยตรง
ดังนั้น รัฐบาลจะต้องตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ว่าดำเนินการโดยชอบเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนหรือไม่
ครป. เห็นว่ารัฐบาลควรเข้าไปควบคุมดูแลสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึงตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยไม่ให้เอกชนเข้ามาถือครองและแบ่งปันผลประโยชน์ในรูปธุรกิจการเมืองแอบแฝง และคิดค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมจากอัตราค่าไฟฐานและสัดส่วนอัตราก้าวหน้าที่เหมาะสม โดยไม่หวังผลกำไรค่าไฟฟ้าจากประชาชน
“เศรษฐกิจฐานล่างจะดีขึ้น เมื่อค่าสาธารณูปโภคถูกลง”
10 พฤษภาคม 2563
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี