'พัชรินทร์-กานต์กนิษฐ์' ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แท็กทีมผู้เชี่ยวชาญสายอาชญาวิทยา ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการถูกล่วงละเมิด ผ่าน กมธ.แก้ไขปัญหาข่มขืนฯ จี้ต้องใช้ยาแรงแก้ปัญหา
นางสาวพัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเลขานุการกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงเหตุการณ์ 5 ครูและ 2 ศิษย์เก่าโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดมุกดาหารข่มขืนเด็กนักเรียนวัย 14 ปีว่า กรรมาธิการฯ พร้อมผลักดันแนวทางต่างๆ โดยขับเคลื่อนผ่านกรรมาธิการฯ เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้
"ส่วนตัวเป็นผู้เสนอญัตติในการตั้งกรรมาธิการพิจารณาเรื่องปัญหาข่มขืนฯ เห็นว่า ที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนขวัญเหล่านี้มาอยู่ตลอดและหลากหลายรูปแบบ ขออย่ารอให้มีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายให้กับผู้กถูกกระทำที่ไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ และก่อให้เกิดเป็นตราบาปอย่างถาวรแก่เหยื่อผู้ถูกกระทำ" นางสาวพัชรินทร์ กล่าว
พร้อมกล่าวต่อว่า ตนเล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหานี้ และพร้อมผลักดันอย่างเต็มที่ในการหาแนวทางให้สังคมมีความปลอดภัย ผู้ถูกกระทำสามารถที่จะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเป็นธรรม มีระบบรองรับที่ดี รวมถึงการเยียวยาทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ มีกระบวนการบำบัดฟื้นฟู แก้ไขติดตามนักโทษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ให้กลับมากระทำความผิดซ้ำอีก หรือสร้างความหวาดผวาให้กับสังคมเรา โดยที่ผ่านมามีความพยายามที่จะศึกษาระบบแนวทางของต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นระบบของการดูแลผู้ถูกกระทำ และการบำบัดฟื้นฟูผู้ต้องขัง รวมถึงติดตามผู้กระทำผิดเมื่อพ้นโทษ แต่ทั้งนี้ก็ต้องศึกษาถึงความเหมาะสมของบริบทสังคมไทยด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ต้องศึกษาให้รอบด้าน
"สิ่งที่เราให้ความสำคัญมากคือ การศึกษาของกรรมาธิการนี้ต้องสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นตัวกฎหมายควรมีความสอดคล้องเมื่อนำไปปฏิบัติ แนวทางต่าง ๆ มีความเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยด้วย หวังว่ากรรมาธินี้จะเป็นอีกหนึ่งตัวขับเคลื่อน เพื่อที่จะสามารถช่วยลดปัญหาอาชญากรรมประเภทนี้" นางสาวพัชรินทร์ กล่าว
ขณะที่นางสาวกานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการหาแนวทางให้ประชาชนรู้จักวิธีป้องกันตัวเอง และหากเกิดเหตุการณ์ถูกล่วงละเมิด ไม่ว่าจะหนักหรือเบา ต้องกล้าที่จะนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อไม่ให้บุคคลเหล่านี้ไปกระทำผิดซ้ำอีก ดังนั้นต้องศึกษาพิจารณาในด้านของกระบวนการยุติธรรมด้วยว่ามีความพร้อมเพียงพอหรือไม่ ที่จะรองรับเหยื่อและพยาน เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วยเช่นกัน
ด้าน รศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร นักวิชาการด้านอาชญาวิทยา หนึ่งในกรรมาธิการฯ กล่าวสนับสนุนให้นำรูปแบบการติดตามตัวของผู้กระทำผิดของต่างประเทศมาปรับใช้กับนักโทษคดีข่มขืน อีกทั้งเห็นควรว่า ต้องใช้ยาแรงในการจัดการกับผู้กระทำผิดในเคสเช่นนี้ ซึ่งผู้กระทำผิดคดีทางเพศนับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น สังคมไทยต้องแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง เร่งด่วน การใช้ยาแรงในการแก้ไขที่จะปรับเปลี่ยนได้จริงจัง ยิ่งผู้กระทำผิดคือพ่อพิมพ์ของชาติ ยิ่งต้องได้รับผลที่รวดเร็ว รุนแรง และแน่นอน
สำหรับนักโทษคดีข่มขืนของแต่ละประเทศมีแนวทางการป้องกันและแก้ไขที่แตกต่างกัน หลายๆ ประเทศที่มีสถิติการข่มขืนสูงต้องกลับมาพิจารณาแนวทางลงโทษว่า เป็นการลงโทษแบบบำบัดแก้ไขหรือลงโทษแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน เน้นวิธีการที่มีกฎหมายรองรับที่ชัดเจนเพื่อป้องกันกันการก่อเหตุซ้ำ ทำให้แนวทางการจัดการคดีล่วงละเมิดทางเพศและข่มขืนทั่วโลก มีแนวทางที่แตกต่างกันออกไป
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ถึงเวลาของประเทศไทยหรือไม่ที่จะต้องการเครื่องมือใหม่ๆ ที่สามารถนำมาแก้ไขปรับปรุงผู้กระทำผิดคดีทางเพศกับประเทศไทยได้ การใช้ยาแรงในการแก้ไข เช่น ประเทศเกาหลีใต้ ที่ฉีดยาทำให้อวัยวะเพศฝ่อ ไม่ตื่นตัว หรือการใช้กฎหมายที่ลงโทษสูงสุดไม่มีการลดโทษใดๆ ประหารชีวิตเท่านั้น เช่นเดียวกับ ประเทศอินเดีย ประเทศอัฟกานิสถาน ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประเทศเกาหลีเหนือ ประเทศจีน และการป้องกันการกระทำผิดคดีทางเพศซ้ำโดยใช้ระบบการลงทะเบียนผู้กระทำผิดคดีทางเพศมาใช้ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ต้องย้อนกลับมาพิจารณาสังคมไทยว่าเราจะพิทักษ์รักษาสิทธิของใครเป็นสำคัญ
ส่วน พ.ต.ท.ผศ.ดร.ศิพร โกวิท อาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และกรรมาธิการฯ ระบุว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า กฎหมายกำหนดโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และยังระวางโทษหนักขึ้นได้อีก หากกรณีเป็นการกระทำแก่บุคคลซึ่งอยู่ในความดูแล เช่น บุตร ลูกศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล กฎหมายไม่ได้อ่อนไป โทษตามกฎหมายนั้นเป็นโทษขั้นสูงที่สุดแล้ว แต่คดีความผิดเกี่ยวกับเพศ การข่มขืนกระทำชำเรา พ่อข่มขืนลูก ครูข่มขืนลูกศิษย์ ยังคงเกิดขึ้นอยู่ไม่ลดน้อยหายไปจากสังคมไทย จึงเป็นข้อสังเกตว่า ไม่ใช่เพราะกฎหมายอ่อนไป หรือโทษไม่น่าเกรงกลัว แต่เป็นเพราะผู้กระทำความผิดขาดความยับยั้งเกรงกลัว แม้รู้ว่าสิ่งที่กระทำเป็นความผิด แต่ขณะลงมือกระทำความผิดผู้กระทำเองก็ไม่คิดว่าจะถูกจับกุมดำเนินคดี
"การแก้ไขกฎหมายเพียงอย่างเดียวจึงไม่ใช่ทางแก้ปัญหา หากแต่ต้องเป็นการแก้ไขทั้งกระบวนการ ตั้งแต่กฎหมาย การดำเนินคดี การลงโทษที่เหมาะสม การเยียวยาฟื้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี