"จตุพร"ควันหลงพฤษภา ย้อนทวน 10 ปี ยอมรับ นปช.ไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิม เผยเข้าใจสภาพเสื้อแดงดี จึงอยู่แบบไม่ทรนงตัว ไม่โอ้อวดว่ายังแข็งแรง เชื่อถ้าคิดแบบเดิม มุ่งลงถนนแบบเดิม ท้ายที่สุดถูกจัดการแบบเดิมอีก แจงแกนนำไม่แตกแยก ปัดทะเลาะกัน แต่ต่างคนต่างอยู่ในจุดยืนของตัวเอง ขออย่าวาดภาพน่ากลัว อย่าวิตกกังวล ระบุ "เรายอมรับว่าเราอ่อนแอ"
เมื่อ 20 พฤษภาคม 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ "Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์" ในรายการ "PEACE TALK" โดยเปิดใจยอมรับสภาพของ นปช.ว่า ปัจจุบันไม่มีความแข็งแกร่งเหมือนในอดีตชุมนุมเมื่อ 2553 ดังนั้น หากใครยังหวาดวิตก ก็โปรดอย่าได้หวาดกลัว
นายจตุพร เริ่มกล่าวถึง "ควันหลงพฤษภา" ว่า การพูดถึงควันหลงของเหตุการณ์พฤษภา 2553 เมื่อ 10 ปีที่แล้วนั้น เป็นสิ่งที่ยากลำบาก นับแต่ประกาศยุติชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์แล้ว แกนนำไปมอบตัวที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ขณะนั้นตนเป็น ส.ส. ซึ่งการควบคุมตัวเกิดขึ้นได้ถ้าถูกจับกุม ไม่ใช่การมอบตัว ดังนั้น ตนจึงไม่ถูกควบคุมตัว ส่วนแกนนำคนอื่นถูกควบคุมตัวไปที่ค่ายตำรวจตระเวนชายแดนนเรศวร หัวหิน ประจวบ
ตนอยู่ที่ สตช.รอให้ DSI มาแจ้งข้อกล่าวหาคดี "ก่อการร้าย" แต่กระทำไม่ได้เพราะไม่มีอัยการมาด้วย อีกทั้งฝ่ายตนก็ไม่มีทนายความ อย่างไรก็ตาม ขณะที่อยู่ สตช. ตนได้ยินเสียงปืนเป็นระยะ และยังเห็นควันไฟ
เมื่อออกจาก สตช. พ.อ.ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย (ขณะนั้นเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร) นำตนไปอยู่บ้านหลังหนึ่งที่นนทบุรี ร่วมกับหมู่มิตรจำนวนหนึ่ง ตนพักอยู่ร่วมเดือน ได้ติดตามข่าวสาร เห็นการแถลงข่าวต่อทูตประเทศต่างๆ และดูภาพการดำน้ำ งมหาอาวุธที่สระน้ำในวัดปทุมวนาราม
เวลานั้น สภาพคนเสื้อแดงถูกกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง แต่ตนรอจนถึงวันเปิดประชุมสภา เพื่อจะได้อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรก แต่ตนถูกประท้วงว่าไม่มีสิทธิ์อภิปรายฯ เนื่องจากถูกคดีก่อการร้าย ในที่สุดตนก็ได้อภิปรายฯ
"หลังจบการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น น้องสาวคุณจาตุรนต์ ฉายแสง คือ คุณฐิติมา ฉายแสง มาบอกว่า รองอธิบดีกรมหนึ่งแจ้งให้ผมหนีไป มิเช่นนั้นจะถูกฆ่า ผมยิ้มรับ และวันรุ่งขึ้นก็มาสภาเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ ซึ่งผมไม่ได้หลบหนีไปไหนแม้แต่วันเดียว"
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อปิดสมัยประชุม มีการยื่นถอนประกันตัว และศาลอนุญาตให้ตนประกันตัว อีกทั้งยังมีการเสนอให้หนีไปอยู่ต่างประเทศ แต่ตนไม่หนี เพราะต้องอยู่เพื่อแสวงหาและทวงคืนความยุติธรรมให้กับคนตาย หลังจากนั้น มีการชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัวพี่น้องที่ถูกจับกุม รวมทั้งยังมีพี่น้องถูกฆ่าในภายหลังยุติชุมนุมในพื้นที่ต่างๆอีกจำนวนหนึ่ง
รวมทั้ง กล่าวว่า ตนถูก DSI ยื่นถอนประกันตัวทุกสัปดาห์ ซึ่งรู้ชะตากรรมดีว่า คงไม่รอดแน่ และแล้วเมื่อมีการยุบสภา ตนก็ไม่รอด ถูกถอนประกันตัว ถูกติดคุกตามคาด และต้องสมัคร ส.ส.ในเรือนจำ ได้รับการรับรองให้สมัครได้เป็นคนสุดท้าย แต่กลับถูกเพิกถอนสิทธิ์เป็นคนแรก โดยวันที่ 18 พ.ค.2555 ศาล รธน.ให้เพิกถอนเป็น ส.ส.กระทั่งวันนั้น ถึงบัดนี้ยังไม่มีโอกาสได้เข้าสภาอีกเลย ซ้ำร้ายปัจจุบันยังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองอีก 10 ปี
ที่เล่ามานั้น เพราะมีความกังวลถึงสภาพ นปช.สื่อมวลชนถามว่า มีความแตกแยกกันใช่หรือไม่ แต่ตนอยู่ในวัฒนธรรมของคนใต้ ที่อยู่ในความหวาดกลัว อีกทั้งกว่า 10 ปีมานั้น คู่ปฏิปักษ์ของตนก็อยู่กับความหวาดกลัวตนด้วย จึงต้องลงมือกระทำการเสียก่อน เพื่อให้ปลอดภัย ซึ่งบางเรื่องเป็นการกลัวเกินความจริงไป เมื่อมีการถามกันว่า นปช.อ่อนแอลงหรือไม่ คนเสื้อแดงอ่อนแอลงหรือไม่ ตนยอมรับความจริงว่า ความแข็งแรงไม่เหมือนในปี 2553 ซึ่งตนไม่ยอมเขียนเสือให้วัวกลัว แต่ต้องพูดในสิ่งที่เป็นจริง
อีกอย่าง มีการตั้งคำถามว่า ไปเจรจากับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (สมัยเป็น ผบ.ทบ.) เมื่อ 21 - 22 พ.ค.2557 ทำไม ตนอยากบอกว่า ตนไปดูผู้ชุมนุมทุกเช้าวันที่ 21 พ.ค.คนเหลือน้อยกว่า 19 พ.ค.53 หลายเท่า ทั้งถนนอักษะมีคนไม่ถึง 500 คน จึงตัดสินใจเอาแกนนำหลักๆไปเจรจาทั้งหมด เพราะต้องการยุติการรัฐประหาร ซึ่งทำไม่สำเร็จ ขณะเดียวกันถ้าจัดชุดต่อสู้ก็มีการตายเหมือนใบไม้ร่วงอีก เราไม่มีสภาพต่อสู้ มีทางเดียวคือการเจรจาเป็นทางออก
ดังนั้น ในวันนี้ อีกฝ่ายหนึ่งมีความวิตก และกังวล รวมทั้งสงสัย โดยอาจคิดจะจัดการตนอย่างไรอีกเช่นเดิม ทั้งในข้อเท็จจริงนั้น เราเข้าใจว่าอยู่ในสถานการณ์ไหน ทั้งที่สภาพไม่แข็งแรงเหมือนเดิม
"ที่ไม่ได้อยู่รวมกัน (แกนนำ นปช.) ไม่ได้จัดงานร่วมกัน ไม่ได้หมายความว่า ผมจะทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีเลย เพราะผมเข้าใจ อยู่กันอย่างนี้ดีแล้ว เพราะจะอยู่ให้เขากลัวทั้งที่ไม่มีอะไรน่ากลัว ซึ่งมันจะไม่เหลืออะไรเลย"
นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดนั้น การที่คนไปยืนที่จุดยืนของตัวเอง แล้วรักษาจุดยืนกันไว้ รวมทั้งการพูดความจริงนั้นจะกัดกร่อนความไม่จริง ความดีจะกัดกร่อนความเลว ความสุจริตจะกัดกร่อนความทุจริต นี่เป็นอนุภาพยิ่งกว่าการสร้างภาพใดๆ
"ผมผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาแล้ว เห็นพฤษภา 2535 และ เมษา-พฤษภา 2553 เห็นคนจำนวนมาก และเห็นเวลาที่ไม่มีใคร ถ้าเราไม่เคยผ่าน ไม่มีความเข้าใจแล้ว เราก็รู้สึกทรนงตัว โอ้อวดว่ายังแข็งแรง ถ้าเราคิดแบบเดิม ออกไปแบบเดิม ท้ายที่สุดศัตรูที่ยังแข็งแรงอยู่ เราก็ถูกจัดการแบบเดิมอีกไม่เปลี่ยน"
นอกจากนี้ ย้ำว่า ความจริงกับความทุกข์ที่ปรากฎ มันมีพลานุภาพ วันนี้โลกเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเรายืนจุดใด เมื่อลุกมาพูดความจริงก็ยังมีพลานุภาพกันอยู่ เมื่อเรายอมรับความจริง แม้เราอ่อนแอ แล้วต้องให้ไปสยบยอมหรือ ไม่มีเลยสำหรับตน
"ผมไม่มีความแตกแยกกับใครทั้งนั้น ไม่ได้ทะเลาะกับใครสักคนเเดียว แต่ผมมองอย่าเข้าใจ ถ้าไม่แข็งแรงจริงอย่าทำตัวให้เขามองเห็นว่าเราแข็งแรง แล้วก็จะถูกทำลายทั้งที่ยังไม่แข็งแรงพอ ดังนั้น การยืนโดยไม่จำเป็นต้องสำแดงพลัง แต่พูดความจริงให้ไปทำหน้าที่จะมีพลานุภาพในตัวเอง ซึ่งหลายคนตอนแรกอาจไม่มีความเข้าใจ"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี