“จตุพร”อาลัย “สุรพงษ์” เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ เผยเบื้องหลังที่หลายคนยังไม่รู้ ครั้งหนึ่ง"เสี่ยปึ้ง'เคยถูกวางให้เป็นนายกฯ ต่อจาก"ยิ่งลักษณ์"ย้ำสัจธรรม นปช.ไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิม แต่ถึงอ่อนแอ ก็ยังสู้ไม่คิดสยบกับทุกสิ่งทุกอย่าง
เมื่อ 21 พฤษภาคม 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊คไลฟ์รายการ PEACE TALK ผ่าน “Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์” โดยกล่าวไว้อาลัยนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล อดีต ส.ส.เชียงใหม่ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งเสียชีวิตเมื่อวานนี้ (20 พ.ค.) ด้วยโรคมะเร็งตับในวัย 67 ปี
ทั้งนี้ ภาพสุดท้ายของนายสุรพงษ์ ที่สาธารณชนเห็นเมื่อครั้งไปฟังคำพิพากษาคดีคืนหนังสือเดินทาง (พาสเปอร์) ให้กับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี แต่รอลงอาญา แล้วเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชเรื่อยมาจนกระทั่งเสียชีวิต
นายจตุพร กล่าวว่า ในรัฐบาลภายหลังเหตุการณ์พฤษภา 2553 นั้น ตนมีประเด็นวิจารณ์แรงๆเกี่ยวข้องกับนายสุรพงษ์ ในกรณีการให้ยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ไอซีซี เพราะเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีการปราบปรามประชาชนและป้องกันการรัฐประหารในอนาคต
โดยนายสุรพงษ์ ขอให้เห็นใจเขา เพราะไม่มีอำนาจตัดสินใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจแท้จริงของรัฐบาลขณะนั้น เมื่อตนสอบถามผู้มีอำนาจแท้จริงแล้วได้รับคำตอบว่า มีทหารใหญ่คนหนึ่งขณะนั้นมาบอก ถ้าประเทศไทยยอมรับเขตอำนาจ ไอซีซี แล้ว เขาจะยึดอำนาจ รัฐบาลจึงไม่กล้าตัดสินใจ แต่รัฐบาลชุดนั้นก็จบลงด้วยการถูกยึดอำนาจเหมือนกัน ผลลัพธ์จึงไม่เปลี่ยน
นอกจากนี้ หลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยุบสภา และไม่ต้องการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก นายสุรพงษ์ ถูกจัดวางไว้ว่า หลังเลือกตั้งจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แต่แล้วเกิดการยึดอำนาจเมื่อ 22 พ.ค. 2557 ซึ่งทุกอย่างก็จบข่าว
“ผมไม่รู้ว่า นายสุรพงษ์ ได้รับรู้หรือไม่ว่าครั้งหนึ่งได้ถูกจัดวางให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ แล้วเขาก็มาจากไป จึงขอไว้อาลัย และจะเดินทางไปร่วมงานศพเช่นกัน”
นายจตุพร กล่าวว่า ที่ว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมนั้น เป็นเพราะความเป็นจริงทางเศรษฐกิจของไทยนั้น ในทางการเมืองมีความเชื่อกันว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงทีมเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากใน พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินเกมชู พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ คนใหญ่ระดับซุปเปอร์หัวหน้าพรรค และใหญ่ที่สุดในรัฐบาลมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่นั้น ทำให้สังคมเชื่อว่า เป็นความจริง
ดังนั้น ทีมเศรษฐกิจที่เรียกว่า 4 กุมาร กับหนึ่งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เมื่อมาเป็นแผง ถ้าถึงเวลาไป ต้องไปยกแผงเช่นเดียวกัน แต่จะไปอย่างไรโดยไม่พกความคับแค้นออกไปด้วย เช่นกรณี ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล ซึ่งถูกปรับออกจากรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจกับการเมืองเกิดภาวะชุลมุนในท่ามกลางวิกฤตของประเทศนั้น คงต้องยอมรับความจริงว่า ขณะนี้การเยียวยาผลกระทบโควิด-19 ยังมีมูลค่าไม่ถึง 2 แสนล้านจากงบประมาณตั้งไว้ 5 แสนกว่าล้าน โดยเป็นเงินกู้มา 1 ล้านล้านนั้น อีกทั้งยังไม่นับเงินตัด 10% จากงบประมาณของทุกกระทรวง ทบวง กรมด้วย
นอกจากนี้ การออก พรก.เงินกู้ 3 ฉบับ รวมเงิน 1.9 ล้านล้านนั้น ส.ส.จากพรรคฝ่ายค้านและรัฐบาลจะอภิปรายเปิดเผยรายละเอียดในที่ประชุมสภา เนื่องจาก พรก.กู้เงินไม่มีรายละเอียด ซึ่งประชาชนจะได้รู้ว่า เงินที่กู้มาทั้งหมดจะบริหารจัดการกันอย่างไร ส่วนหลายคนต้องการตรวจสอบจะมีการทุจริต คอรัปชั่นหรือไม่ ถือเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เพราะเงินจำนวนนี้เป็นภาระหนี้ของคนไทย จึงต้องบริหารจัดการให้ถึงมือประชาชนอย่างเต็มที่
ที่สำคัญคือ การพิจารณาต่อ พรก.ฉุกเฉินหรือไม่ ตนเชื่อว่า จะต่อ พรก.ฉุกเฉิน ออกไปที่ละเดือน แล้วมีมาตรการผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น แต่เหนืออื่นใดแล้ว นายกฯ ยังไม่เลิก พรก.เด็ดขาด เนื่องจากต้องการใช้อำนาจ
ในความเป็นจริง การใช้อำนาจตาม พรก.ฉุกเฉินนั้น เอาแค่กระทรวงศึกษาจัดการเรื่องการเรียนออนไลน์ ซึ่งมีความไม่พร้อมทั้งด้านเทคโนโลยี่ จนเกิดผลกระทบหลายอย่าง และความไม่พร้อมทำให้เกิดความไม่เสมอภาค บ่งบอกถึงความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
ส่วนความไม่พร้อมของสถานประกอบการต่างๆก็เช่นกัน แม้การผ่อนคลายให้เปิดห้างสรรพสินค้า เมื่อเปิดคนแห่กันไป แต่สักพักห้างฯจะรู้ตัวว่าจะมีคนไปใช้จ่ายน้อยลง เพราะจะเกิดอาการจนฉับพลันทันด่วน ซึ่งเป็นสภาวะภายใต้ปัญหาในปัจจุบัน
สำหรับทางการเมืองนั้น ในอนาคตยังมีความมืดมนกันอยู่ เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ยังไม่ได้แก้ไข จะเดินไปข้างหน้าก็ลำบาก การปรับ ครม.ยังไม่ใช่ทางออก เนื่องจากสถานการณ์ไปไกลเกินการปรับ ครม.แล้ว แม้มีหลายคนมองวิกฤตทำให้เกิดโอกาส แต่เป็นโอกาสให้นักการเมืองหรือประชาชน
"ถ้าเป็นโอกาสให้ประชาชน ต้องรู้ว่า ประชาชนยากลำบาก มีการแจกเงิน แต่แจกไม่ครบ ที่ได้อย่างมากขณะนี้ก็ไม่เกิน 2 เดือน ส่วนที่ไม่ได้ ไม่รู้วันนี้จะอยู่ในสภาพอย่างไร ซึ่งตู้ปั้นสุขได้อธิบายภาวะความทุกข์อย่างล่อนจ้อนแล้ว"
นายจตุพร กล่าวว่า มาตรการในอนาคตนั้น ถึงอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ยังตัดสินใจไม่เลิก พรก.ฉุกเฉิน แต่จะผ่อนคลายกันมากขึ้น อาจจะเปิดช่องให้ประชาชนได้ทำมาหากินตามปกติ แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งเศรษฐกิจไม่รู้จะฟื้นคืนชีพกันขึ้นมาได้อย่างไร
“ผมมองว่า การจัดการต่อไปนี้ เป็นการเดิมพันอนาคตทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และประเทศไทย ถ้านักการเมืองคิดแต่ส่วนตัว ไม่คิดถึงประเทศชาติ ปัญหาชาติก็แก้ไม่ได้ ดังนั้น จึงไม่มีอะไรน่ากลัวมากไปกว่าความหิวและความอดอยากอีกแล้ว เพราะประเทศไทยไม่เคยอยู่ในจุดที่ต้องแย่งอาหารกัน แต่ภาพอาหารในตู่ปั้นสุข หรือคนต่อแถวรอรับสิ่งของเป็นสิ่งอธิบายได้ชัดเจน ว่า ประเทศเดินมาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร และที่สำคัญผมเชื่อว่า สภาพทางการเมืองในปัจจุบันไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้”
ส่วนปัญหาของการบินไทยนั้น พล.อ.ประยุทธ์ บอกตัดสินใจลำบากที่ยื่นศาลล้มละลายให้ออกแบบฟื้นฟูกิจการ จะทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้น โดยให้เอกชนถือมาก รัฐถือน้อย นั่นเท่ากับสภาพการบินไทยเดินมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว
อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อว่า กิจการการบินไทยอย่างไรก็ฟื้นอยู่ดี และจัดการอย่างมืออาชีพแล้วจะเกิดกำไรได้ แม้เป็นองค์ที่เทอะทะมีพนักงานถึง 2 หมื่นคน บางปีมากถึง 3 หมื่นคน และเต็มไปด้วยลูกท่านหลานเธอฝากฝังมากมาย
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อเอกชนบริหารและเป็นเสียงข้างมากแล้ว การบินไทยจะไม่เหมือนเดิม สภาพเป็นของเอกชนเต็มตัว การบริหารไม่เหลือความเป็นกิจการของรัฐเลย ดังนั้น ทุนหัวแถวของไทยจะเป็นเจ้าของการบินไทยตัวจริง ถ้ากลุ่มทุนใหญ่ระดับมหาเศรษฐีเข้าไปซื้อหุ้น ก็เปลี่ยนการบริหารใหม่หมด เพราะต้องสร้างกำไรที่ดีที่สุดคือในตลาดหุ้น
“เมื่อสภาพการเมือง เศรษฐกิจ และการบินไทย ไม่มีอะไรเหลือสภาพเดิมอีกแล้ว นักการเมืองที่เป็นอยู่ คิดแบบเดิม ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ส่วนรัฐธรรมนูญก็ให้อำนาจเปลี่ยนผ่านกับ ส.ว.ได้เลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อแนวรบยังไม่เปลี่ยนแปลง จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาชาติได้ ประเทศไทยจึงอยู่ในสภาวะสังคมอกแตก”
นายจตุพร ย้ำว่า เหตุนี้ ตนจึงเชื่อว่า การเมืองมีการเปลี่ยนแปลง และจะไม่เหมือนเดิม จะออกมารูปแบบใด ต้องติดตามกัน ส่วนเศรษฐกิจเมื่อถึงจุดพังพาบถึงขั้นเป็นนรกทางเศรษฐกิจแล้ว จะทำให้สถานการณ์ของประเทศแปรเปลี่ยนไปอีกอย่าง
สำหรับการบินไทย เมื่ออยู่ในมือเอกชนก็ไม่เหมือนเดิม พนักงานจำนวนมากต้องถูกให้ออก พร้อมทั้งเอกชนจะเกิดการปรับตัวแข่งขันกันมากขึ้น ดังนั้น สถาการณ์จะอธิบายทุกอย่างทั้งหมดว่า การเมืองเปลี่ยนอย่างไร เศรษฐิจพังแล้วจะเปลี่ยนอย่างไร ส่วนการบินไทยวันนั้นก็จะเห็นความจริง
นอกจากนี้ นายจตุพร กล่าวช่วงสุดท้ายต่อคนถามว่า นปช.อ่อนแอจริงหรือไม่ ตนบอกว่า ไม่มีวันแข็งแรงเหมือนปี 2553 ซึ่งตนอยู่กับความเป็นจริง ไม่ยอมปากแข็งบอกยังแข็งแรงอยู่ แต่เมื่ออ่อนแอแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปสยบยอมกับทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมเชื่อว่า สัจธรรมของมนุษย์ไม่แข็งแรงตลอดเวลา แต่ไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับความจริง สำหรับตนแล้วยอมรับความจริงและอยู่ในโลกความเป็นจริงเสมอ ถ้าเราไม่แข็งแรง แต่ประกาศตัวทำเป็นแข็งแรง ที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
อีกทั้ง ย้ำว่า สาเหตุที่ถูกกระทำมาทั้งหลายนั้น เพราะคนเกิดจากความกลัว ซึ่งเป็นความกลัวที่ไม่เป็นความจริง ดังนั้น เราจึงไม่เสแสร้งว่ามีความแข็งแรง มันไม่จำเป็น เพราะไม่มีอะไรเป็นสัจธรรมเที่ยงแท้ ไม่มีใครบอกว่า คนทุกคนต้องแข็งแรงตลอดไปหรืออ่อนแอตลอดไป ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แต่มนุษย์มีช่วงแข็งแรงและอ่อนแอกันทั้งสิ้น นี่เป็นสัจธรรม
“นปช.ก็เช่นเดียวกัน มีวันแข็งแรง มีวันอ่อนแอ และจะมีวันแข็งแรงขึ้นมาอีก นี่เป็นสัจธรรมในการต่อสู้ ดังนั้น สิ่งสำคัญต้องเข้าใจยุคสมัยว่า ปัจจุบันเป็นเวลาการต่อสู้ของใคร อย่างไร”
นายจตุพร กล่าวว่า การยอมรับถึงการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สู้ แต่เข้าใจสัจธรรมในการต่อสู้ว่า เราไม่ใช่เจ้าของการต่อสู้ ทุกคนต้องเป็นคนต่อสู้ ที่สำคัญต้องมองเห็นคนในอนาคตมาต่อสู้แทน โดยเรายังต่อสู้ร่วมกันอยู่ เพียงแต่เวลาของเราเหลือน้อยลง เวลาคนรุ่นใหม่มากขึ้น ดังนั้น เราต้องมองไกลอย่างมีประสิทธิภาพ มองเห็นเส้นทางการต่อสู้เป็นหน้าที่โดยตรงของคนรุ่นใหม่ โดยเรายังยืนหยัดร่วมกันอยู่ เพราะบ้านเมืองรุ่นต่อไป ต้องเป็นหน้าที่ของคนรุ่นต่อไปเพื่อสร้างความแข็งแรงให้ประเทศและเพื่อความผาสุข
“สิ่งสำคัญในการต่อสู้คือเกียรติยศ โดยต้องไม่หลงใหลกับภาพมายาใดๆ ต้องอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงให้ได้”นายจตุพร กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี