พท.จัดทัพ50สส.
ชำแหละพรก.เงินกู้3ฉบับ
สั่งเก็บข้อมูลติวเข้มทุกวัน
‘วิษณุ’สะกิดอย่าลากยาว
ภท.ขอเพิ่มเก้าอี้ ปธ.กมธ.
อ้างได้ผู้แทนอีก10ราย
พรรคเพื่อไทยเตรียม 50 สส. เก็บข้อมูลติวเข้ม รอเวลาอภิปรายชำแหละ พ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับในสภาฯสัปดาห์หน้า ในขณะที่วิษณุสะกิดอย่าลากยาวไปถึงเสาร์-อาทิตย์ เพราะจะไม่มีคนเข้าประชุมด้านภูมิใจไทย ทวงเก้าอี้ ปธ.กมธ.เพิ่ม หลังมีสส.เข้ามาอีก 10 ราย
เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญ เพื่อพิจารณาร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ 3 ฉบับ เป็นเวลา 5 วัน ระหว่างวันที่ 27-31 พ.ค.นี้ว่ารายละเอียดของการประชุมดังกล่าว เป็นเรื่องของวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้านที่จะต้องหารือกันและจะนำมารายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันอังคารที่ 26 พ.ค.นี้ อย่างไรก็ตามการอภิปรายที่จะยาวไปถึงวันเสาร์-อาทิตย์นั้นมีปัญหาอยู่ที่ว่าจะมีคนมาเข้าร่วมประชุมหรือไม่
พท.เตรียม50ขุนพลถล่มพรก.
วันเดียวกัน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เรียกประชุม ส.ส.หารือร่วมกัน ผ่านระบบซูม เนื่องจากต้องเว้นระยะห่างในช่วงการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 เพื่อเตรียมการอภิปราย โดยเฉพาะพระราชกำหนดรวม 3 ฉบับ ที่รัฐบาลออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคประกอบด้วยนายโภคิน พลกุล นายชัยเกษม นิติสิริ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นายวัฒนา เมืองสุข นายนพดล ปัทมะ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รวมทั้งนายสุชาติ ธาดาธำรงค์เวช เข้าร่วมอย่างพร้อมเพียงในการให้คำแนะนำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและข้อกฎหมาย ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยมี ส.ส. ร่วมลงชื่อขออภิปรายดังกล่าว ประมาณ 50 คน
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่าพรรคเพื่อไทยเห็นว่า มาตรการที่รัฐใช้ในการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19ได้แก่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การล็อคดาวน์ประเทศ การหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการประกาศเคอร์ฟิว ไม่ได้สัดส่วนกับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดทำให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลหมดความจำเป็นที่จะคงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอีกต่อไป ในทางกลับกันรัฐบาลควรปลดล็อคให้ความสำคัญกับการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่จะเสียหายมากที่สุดในรอบ 100 ปี โดยประเมินว่าจีดีพีอาจจะติดลบถึงร้อยละ 7-9 ส่งผลคนตกงานมากกว่า 7-10 ล้านคน
ซัดไร้ยุทธศาสตร์เยียวยาปชช.
“ส่วนสำหรับมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด พรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลยังเยียวยาไม่ทั่วถึง ดำเนินการด้วยความล่าช้า สร้างกติกากฎเกณฑ์ที่ยุ่งยากกับประชาชน ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงการเยียวยา และส่อไปในทางทุจริตเอื้อพวกพ้อง รวมทั้งไม่มียุทธศาสตร์ที่ทำให้การเยียวยา เกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ จะเห็นได้จากข่าวทำให้ประชาชนต้องฆ่าตัวตายและเงินเยียวยาที่ประชาชนจะต้องเป็นผู้ชำระหนี้ไหลไปสู่กระเป๋าของมหาเศรษฐีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เขียนจดหมายไปขอให้ช่วยรัฐบาล”
ห่วงตกงานพุ่ง-กลุ่มทุนย้ายฐาน
นอกจากนี้ในส่วนการพยุงรักษาเศรษฐกิจไม่ให้ล่มสลาย พรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลมิได้มีมาตรการที่จะดูแลรักษาหรือช่วยเหลือผู้ประกอบการซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการต้องเลิกกิจการ หรือบางรายต้องย้ายฐานเศรษฐกิจไปลงทุนในประเทศอื่นส่งผลทำให้เกิดการเลิกจ้างงานซึ่งจะทำให้คนตกงานอย่างมหาศาล ปัญหาอาชญากรรมจะตามมา พระราชกำหนด2ฉบับได้แก่ พระราชกำหนดช่วยเหลือเอสเอ็มอีและ พระราชกำหนดรักษาเสถียรภาพทางการเงินหรือที่เรียกว่าพระราชกำหนดอุ้มหุ้นกู้เศรษฐีที่กระทรวงการคลัง จะต้องเข้าไปช่วยใช้หนี้จากเงินภาษีของประชาชนไม่ตอบโจทย์ของประเทศและไม่สามารถพยุงรักษาเศรษฐกิจไว้ได้
นอกจากนี้ ที่ประชุมพรรคเพื่อไทยยังมีความกังวลที่รัฐบาล ไม่มีมาตรการดูแลคนที่จะตกงานอีกจำนวนมหาศาลรวมทั้งไม่มีมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิดที่คนในโลกจะให้ความสำคัญกับสุขภาพและความสะอาด(health & hygienity)นอกจากจะเอาเงินกู้ 400,000ล้านบาทมาแจก ส.ส.เอาไปแสวงหาผลประโยชน์แต่ภาระจะตกแก่ประชาชนที่จะต้องเป็นผู้ชำระหนี้ เหมือนกับโครงการมิยาซาว่าหรือโครงการไทยนิยมที่ล้มเหลวมาก่อนแล้ว
ติวเข้ม23-26พค./สั่งสส.เก็บข้อมูล
ทั้งนี้ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวในที่ประชุมอีกว่าขอให้ ส.ส.ได้ลงพื้นที่ เพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนเรื่องการเยียวยาและรับฟังปัญหาของผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อนำมาอภิปรายในสภาฯ โดยจะจัดให้มีการติวเข้ม ส.ส. ทุกวันตั้งแต่วันเสาร์จนถึงวันอังคารก่อนจะมีการอภิปราย โดยเชื่อว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและจะเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
‘พิชัย’รับคุยอดีตพท.ตั้งพรรคใหม่
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวถึงกระแสข่าวตั้งพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งมีรายชื่อของนักการเมืองหลายคนร่วมโดยยอมรับว่า ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับบรรดาเพื่อนนักการเมืองหลายกลุ่มจริง อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายภูมิธรรม เวชยชัย นายวีระพงษ์ รามางกูร นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ซึ่งเป็นบุคคลที่เคยสังกัดพรรคเพื่อไทย แต่เป็นการพูดคุยเรื่องสถานการณ์การเมืองทั่วไป ยังไม่ตกผลึกลงลึกในรายละเอียดของพรรคใหม่ที่จะตั้งขึ้น ซึ่งต้องหารือกันต่อไปว่าจะร่วมตั้งเป็นพรรคเดียวกันหรือไม่ เพราะมีการคุยกันหลายกลุ่ม ส่วนแนวโน้มความชัดเจนจะเกิดขึ้นอีกนานเพียงใดยังไม่แน่ใจ เพราะขณะนี้ยังมีเวลา มีจังหวะ ต้องรอดูว่าทิศทางการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่แนวนโยบายของพรรคใหม่จะเน้นเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจและมุ่งหวังให้ประเทศเจริญ
ปัดร่วม’อุตตม-สมคิด’เกิดยาก
สำหรับสาเหตุที่นักการเมืองรุ่นใหญ่จะร่วมกันตั้งพรรคการเมือง นายพิชัยกล่าวว่าเป็นเพราะความนิยมของพรรคการเมืองต่างๆในปัจจุบันลดลงมาก อีกทั้งรัฐบาลมีปัญหาเศรษฐกิจหนักมากจึงเห็นว่ามีโอกาสที่พรรคการเมืองใหม่ จะเป็นความหวังของประชาชนไม่อยากให้ประชาชนสิ้นหวังและไม่ต้องการให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทน
อย่างไรก็ตาม นายพิชัย ยังปฏิเสธข่าวเรื่องร่วมตั้งพรรคกับ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ ส่วนการประเมินการเลือกตั้งครั้งหน้า จะเกิดขึ้นได้เมื่อใดนั้น เป็นเรื่องที่ประเมินยาก
ภท.โวยเพิ่ม10สส.ไม่ได้ปธ.กมธ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในขณะนี้มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการจัดสรรตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)สามัญประจำ สภาผู้แทนราษฎร จำนวน 35คณะ เป็นผลมาจากเสียงในสภาฯเหลือส.ส.ที่สามารถทำหน้าที่ได้จำนวน 487คน ส่วนหนึ่งที่หายไปเนื่องจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 11คน ที่เป็นกรรมการบริหารพรรค ต้องพ้นจากตำแหน่งและเมื่อพรรคถูกยุบ บัญชีผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค ต้องเสียไปด้วย ส่งผลให้ท้ายที่สุด ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อในลำดับถัดไปไม่ได้ รับการเลื่อนขึ้น ดำรงตำแหน่ง ส.ส.
มีรายงานอีกว่าจากกรณีดังกล่าว ทำให้ตัวแทนพรรคภูมิใจไทยที่เข้าหารือกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯระหว่างประชุมร่วมกันกับหัวหน้าพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ได้สอบถามว่าต้องมีการจัดสัดส่วนประธาน กมธ.สามัญใหม่หรือไม่โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ได้ส.ส.เพิ่มขึ้นมาอีก10คนย่อมทำให้พรรคภูมิใจไทย สมควรได้ตำแหน่งประธาน กมธ.สามัญ เพิ่มขึ้นอีก 1 ตำแหน่ง แต่ปรากฎในเอกสารที่ระบุจำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรคและการคำนวณสัดส่วนตำแหน่งประธาน กมธ.กลับกำหนดให้พรรคภูมิใจไทยมี ส.ส.เพิ่ม 3 คนเท่านั้น ขณะที่พรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ได้ตำแหน่งประธาน กมธ.ทั้งที่ไม่ได้มีจำนวน ส.ส.เพิ่มแต่อย่างใด จึงทำให้ตัวแทนพรรคภูมิใจไทย ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งพรรคภูมิใจไทยกำลังหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวอยู่ในขณะนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี