"จตุพร"เชื่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ในสถานการณ์ผิดปกติ รธน.เดิม ปัญหาเดิม ชี้ปัญหาประเทศยังไร้ทางออก ศก.แก้ไม่จบ จับตา! สภาอภิปราย พรก.3 ฉบับเงิน 1.9 ล้านล้านเป็นศึกชิงพื้นที่ใจ ปชช. แนะใครสื่อปกป้องประโยชน์ ปท.ได้ดีจะชนะ
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงการก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ว่า ข่าวระบุถึงอดีตรัฐมนตรี เคยสังกัดพรรคไทยรักไทยในอดีต แต่ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์แขวะสรุปว่า ไม่ต้องรีบต้องพรรคเพราะการเลือกตั้งยังอีกนาน ซึ่งตนก็เห็นด้วย
อีกทั้งกล่าวว่า ในช่วงที่ตนอยู่ในเรือนจำ มีเวลาว่างมาก ได้ศึกษาระบบเลือกตั้งตามกติกา รธน.2560 ที่กำหนดระบบเลือกตั้งให้มีบัตรเลือกตั้งใบเดียวใช้ในการเลือก ส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อ เป็นการออกแบบกติกาที่สวนกับความรู้สึกคนไทย เพราะระบบเลือกตั้งเช่นนี้ สะท้อนถึงการเมืองรวมกันในพรรคเดียวเท่ากับแพ้ แต่ถ้าแยกกันจะมีโอกาสชนะมากขึ้น
ดังนั้น การเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคการเมืองจึงออกแบบตั้งพรรคใหม่เพื่อแยกกันเลือกตั้ง แล้วนำเสียง ส.ส.มาร่วมกันในสภา แต่ตนได้ประเมินโดยตั้งเป้าหมายได้เสียงรวมกันถึง 376 เสียงแต่ก็ยากมาก หรืออีกเป้าหมายคือได้เสียง 251 เสียง สามารถกุมจำนวนเกินครึ่งของสภา จะทำให้รัฐบาลไปไม่รอด บริหารจัดการเสียงในสภาผู้แทนที่มีเสียงทั้งหมด 500 เสียงไม่ได้ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ รัฐบาลย่อมแพ้การลงมติในสภา
ตนเคยคาดว่า พรรคเพื่อไทย แม้เป็นพรรคใหญ่จะไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อสักคนเดียว เมื่อก่อนเลือกตั้งพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ถูกยุบพรรค ยิ่งเห็นความชัดเจนของพรรคเพื่อไทยจะไม่มี ส.ส.บัญชีรายชื่อ รวมทั้ง กกต.คำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่มีความแน่นอน จนทำให้พรรคเล็กได้ ส.ส.แล้วสถานการณ์จำนวน ส.ส.ก็พลิกข้างไปเป็นฝ่ายรัฐบาลได้เปรียบทันที ประกอบกับพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ถูกยุบ ฝ่ายรัฐบาลจึงไม่มีปัญหาจำนวนเสียงเลย สามารถยึดครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทน และตั้งรัฐบาลบริหารประเทศได้
ถ้ามองอนาคตการตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้น หากต้องการเข้ามาตามสารบบกติกาตาม รธน.ปัจจุบันแล้ว และพิจารณาจากสถานการณ์การเมืองแบบปกติที่ใช้ความขัดแย้งของนักการเมืองเป็นเครื่องชี้วัดย่อมเห็นแนวโน้มจะเกิดการยุบสภา ดังนั้น จึงต้องคิดถึงการตั้งพรรคการเมืองขึ้นเพื่อแยกกัน แล้วนำจำนวนเสียงมารวมกันในสภา ซึ่งนั่นเป็นการคิดตามสูตรการเมืองในสถานการณ์ปกติ
นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองที่ผ่านมาช่วงนี้ อยู่ในสภาพผิดปกติจากที่เคยเป็น ดังนั้น ถ้าประเมินการเมืองแบบไม่ปกติแล้ว การเลือกตั้งคงยังไม่เกิดขึ้นในเวลารวดเร็ว เพราะฝ่ายกุมอำนาจไม่มีใครยินยอมให้มีการเลือกตั้ง อีกทั้ง รธน.ยังไม่ได้แก้ไข
"ด้วยเหตุนี้ แม้คิดจะชนะในจำนวนเสียงสภาผู้แทน แต่ก็ไม่ง่ายเช่นกัน และที่สำคัญประเทศยังอยู่ในโจทย์เดิม ปัญหาเดิม และมีคำตอบเดิม คือ ไม่มีเสียง ส.ว.สักเสียงมาช่วย ดังนั้น ปัญหาบ้านเมืองจึงไม่จบ ถ้ามองถึงหมากนอกกระดานก็จะน่าคิดมากกว่า"
นายจตุพร กล่าวถึง การอภิปราย พรก.3 ฉบับ รวมเงิน 1.9 ล้านล้านบาท ในวันที่ 27 - 31 พ.ค.นั้น ตนเชื่อว่าต้องผ่านเสียงในสภาอยู่ดี เพราะจำนวนเสียงของฝ่ายรัฐบาลมีมากกว่าชัดเจน ซึ่งที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่การผ่านสภาหรือไม่ผ่าน แต่อยู่ที่การทำหน้าที่ของเสียง ส.ส.ข้างน้อยและข้างมากอภิปรายในสภาผู้แทนฯ เนื่องจาก พรก.ทั้ง 3 ฉบับ ล้วนทำให้คนไทยได้รับผลกระทบในระยะยาวอยู่ดี
"ส.ส.ทั้งสองฝ่ายต้องฉายภาพให้เห็นว่า เงิน 1.9 ล้านล้านบาท ต้องถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีรอยรั่วทำให้เกิดทุจริตคอร์รัปชั่น แต่เงินกู้ต้องตกถึงมือประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งต้องผูกพันกับการใช้หนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
พร้อมทั้งย้ำว่า สิ่งสำคัญ คือ จำนวนเงินจาก พรก.ทั้ง 3 ฉบับ จะเป็นรอยต่อกับร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 เมื่อร่วมกันแล้วเป็นเงินกว่า 5 ล้านล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลต้องอธิบายถึงประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงิน ขณะเดียวกันฝ่ายค้านต้องระบุถึงปัญหาที่กลุ่มทุน นักการเมือง จะได้รับผลประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณในสถานการณ์โควิด-19 อย่างไร
"การอภิปราย พรก.3 ฉบับนั้น เพื่อให้คนไทยได้ชั่งน้ำหนักกันว่า เหตุผลของรัฐบาลหรือของฝ่ายค้าน สิ่งไหนเป็นประโยชน์มากกว่าและทำให้ประชาชนได้ผลประโยชน์สูงสุด ซึ่งฝ่ายใดหรือใครสามารถสื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า ได้ปกป้องผลประโยชน์ประเทศชาติมากที่สุด นั่นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในใจประชาชน"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี