บิ๊กตู่แจงกลางสภา
ยันพรก.กู้เงินสู้โควิดโปร่งใสทั่วถึง
มุ่งรักษาชีวิตปชช.-ฟื้นศก.
ยึดวินัย‘การเงิน-การคลัง’
ย้ำไม่กระทบหนี้สาธารณะ
ฝ่ายค้านชี้อย่าเอื้อพวกพ้อง
“บิ๊กตู่”ชี้แจงกลางสภา ยันพ.ร.ก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อรับมือไวรัสโควิด-19 ฟื้นฟู-เสริมความเข้มแข็งเศรษฐกิจประเทศบริหารโปร่งใส ทั่วถึง ยึดระเบียบวินัย การเงิน การคลังไม่กระทบหนี้สาธารณะ ด้าน“ผู้นำฝ่ายค้าน” ชมป้องกันโควิดเยี่ยม แต่ล้มเหลวบริหาร-เยียวยา-ฟื้นฟูเศรษฐกิจ-ชีวิต ปชช.ดักคอใช้เงินโปร่งใส-ตรวจสอบได้ อย่าเอื้อพวกพ้อง ซื้อเสียงล่วงหน้า ส่วน“อนุดิษฐ์”ตั้ง 3 เงื่อนไข โหวตผ่านต้องตั้งกมธ.วิสามัญฯตรวจสอบ และรายงานสภาทุก 3 เดือน
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 27พฤษภาคม ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.)และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) พร้อมตัวแทน6พรรคฝ่ายค้าน ประชุมหารือเตรียมพร้อมทั้งเรื่องประเด็น กรอบเวลาและตัวบุคคลที่จะอภิปราย พรก.กู้เงิน3ฉบับ
โดยนายสุทินกล่าวว่าสัดส่วนผู้อภิปรายของแต่ละพรรค คือ พรรคเพื่อไทย 54คน พรรคก้าวไกล 14คน พรรคเสรีรวมไทย 4คน พรรคประชาชาติ 3คน พรรคเพื่อชาติ 1คน พรรคพลังปวงชนไทย 1คน นอกจากนี้ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเศรษฐกิจใหม่ มีความประสงค์ที่จะร่วมอภิปราย โดยจะใช้เวลาประมาณ 30นาที ซึ่งจะแบ่งโควตาของพรรค พท.รวม 78คน โดยการบริหารลำดับคิวจะหารือร่วมกันเป็นวันๆไป เพราะต้องเป็นไปตามสถานการณ์ เนื้อหาและน้ำหนักที่เราอยากจะให้ โดยเบื้องต้นวางลำดับคร่าวๆ ก่อน ซึ่งศูนย์กลางในการจัดลำดับ คือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ พรรค พท.,น.ส.มนพร เจริญศรี สส.นครพนม พรรคพท.และนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล
‘ชวน’เปิดเวทีอภิปรายเงินกู้3ฉบับ
เวลา 09.30น.นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่25ปีที่2 ครั้งที่1(สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง มีวาระสำคัญเรื่องด่วนในการพิจารณา พรก.3 ฉบับ ได้แก่ พรก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 2.พรก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาและ3.พรก.รักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ.2563ที่ครม.เป็นผู้เสนอ
‘บิ๊กตู่’ลุกแจงเหตุผลรบ.ต้องกู้เงิน
จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมถึงหลักการและเหตุผลการตรา พรก.3ฉบับว่าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคืนกลับมาสู่ประเทศ รัฐบาลจึงจำเป็นเร่งด่วนต้องแก้ไขสถานการณ์และหยุดยั้งการระบาดของโรคระบาดโควิด-19 เพื่อสร้างความพร้อมด้านสาธารณสุขของประเทศ เยียวยาเกษตรกรและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบในการประกอบอาชีพ จากมาตรการควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค โดยรัฐบาลต้องใช้เงินดำเนินการดังกล่าวจำนวน 1ล้านล้านบาท ซึ่งไม่อาจดำเนินการได้ตามปกติหรือใช้การกู้เงินของรัฐบาลที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันได้ จึงต้องออกพรก.เพื่อดูแลและฟื้นฟูเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19
มุ่งฟื้นศก.-ไม่ขัดวินัยการเงิน-คลัง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าการตรา พรก.ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท ถือเป็นทางเลือกสุดท้ายที่รัฐบาลตัดสินใจ เพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศและป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ ซึ่งรัฐบาลได้ตระหนักถึงความห่วงใยในประเด็นในการรักษาวินัยการเงิน การคลังของประเทศและความคุ้มค่าในการใช้จ่ายเงิน จึงได้กำหนดหลักการที่สอดคล้องกับวินัยการเงินการคลังของรัฐ เพื่อเป็นกรอบการกู้เงินไว้ในกฎหมายฉบับนี้ ได้แก่ กระทรวงการคลัง มีอำนาจกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศวงเงินไม่เกิน 1ล้านล้านบาท โดยลงนามในสัญญากู้ไม่เกินวันที่ 30กันยายน2564
ต้องแจ้งครม.-รายงานสภาใน60วัน
นายกฯ กล่าวต่อว่าเพื่อรักษาวินัยการใช้เงิน รัฐบาลจึงกำหนดแนวทางการใช้เงินตามพรก.ได้แก่ 1.กำหนดวงเงิน 450,000ล้านบาท ที่ต้องนำไปใช้ในแผนงานวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัส-19 2.กำหนดวงเงิน 555,000ล้านบาท ที่ต้องนำไปใช้ตามแผนเพื่อชดเชยเยียวยาให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19และ3.กำหนดวงเงิน 400,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ตามแผนงานที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อชดเชยเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งครม.มีอํานาจอนุมัติปรับเปลี่ยนกรอบวงเงินได้ตามความจำเป็น เพื่อให้การใช้จ่ายสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จึงกำหนดให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อพิจารณากลั่นกรองแผนงานหรือโครงการก่อนเสนอ ครม.และจำกัดการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งรายงานต่อ ครม.รวมถึงต้องมีการจัดทำรายงานผลการใช้เงินให้รัฐสภาทราบภายใน 60วัน นับตั้งแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ซึ่งเป็นรายงานที่ครอบคลุมรายละเอียดการกู้เงิน วัตถุประสงค์ในการใช้จ่ายเงินกู้และผลที่ได้รับจากการใช้จ่ายเงิน
นอกจากนี้ จากผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกจึงต้องมีแผนงานเพื่อให้ประชาชนดำรงอยู่ได้ไป พร้อมกับการรักษาสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเครื่องจักรของประเทศ จึงได้มีมาตรการพักชำระหนี้ การกำหนดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ทั้งกับประชาชนและผู้ประกอบการ ลดการเก็บเงินเข้ากองทุนประกันสังคม ลดค่าการใช้น้ำ ลดค่าใช้ไฟฟ้า ขยายเวลาชำระค่าน้ำและค่าไฟฟ้าให้ประชาชน ชะลอการจ่ายภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลและมาตรการชดเชยรายได้ให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เป็นต้น
ไม่กระทบหนี้สาธารณะต่อจีดีพี
‘ขอยืนยันว่าการกู้คืนภายใต้พรก.ไม่กระทบต่อหนี้สาธารณะและกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งเมื่อรวมการก่อหนี้ครั้งนี้แล้ว มีอัตราการก่อหนี้สาธารณะต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ หรือ จีดีพี อยู่ที่57.6% ซึ่งถือว่าไม่เกินกรอบการก่อหนี้สาธารณะคงค้างต่อจีดีพีที่กำหนดไว้ว่า หนี้สาธารณะต้องไม่เกินกรอบ60% ของจีดีพี ยืนยันว่ารัฐบาลสามารถบริหารจัดการในการชำระหนี้ได้และยืนยันว่าการตราพรก.ครั้งนี้เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อแก้ไขปัญหาตามหลักการและเหตุผลดังที่กล่าวมา พร้อมทั้งขอขอบคุณสส.ทุกคนที่มีความห่วงใยต่อการใช้เงินจำนวนดังกล่าวด้วย’นายกฯกล่าว
‘พท.’ซัดเยียวยาล่าช้า-ไม่ทั่วถึง
ต่อมา นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้อภิปรายเป็นคนแรกว่าขอแสดงความชื่นชมและยินดีกับความสำเร็จการป้องกันโควิด-19ของไทย ที่ประชาชนทั้งประเทศเสียสละร่วมมือร่วมใจปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด จนโควิดเบาบางลงไป ถือเป็นความสำเร็จ แต่มีอุปสรรคข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจากการบริหารในภาวะวิกฤตหลายครั้งของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นการจัดหาหน้ากากอนามัย การขาดแคลนชุดppeสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ความสับสนในการกักตัวงผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ การสั่งปิดกิจการในกทม.ก่อนประกาศมาตรการเยียวยา ความล่าช้าในการเยียวย ที่ไม่ทั่วถึงรวดเร็ว ความล่าช้าในการยกเลิกการประกาศฉุกเฉินตามพรก.ฉุกเฉินและความล่าช้าในการคลายล็อคระบบเศรษฐกิจของประเทศ
เปรียบตีเช็คเปล่า-ไร้ตรวจสอบ
ผู้นำฝ่ายค้านฯอภิปรายอีกว่าการกู้เงินจำนวนมหาศาลตามพรก.3ฉบับ ต้องระลึกเสมอว่า เงินกู้จำนวนมหาศาลนี้ ประชาชนทั้งประเทศต้องร่วมชำระหนี้ จึงต้องใช้ด้วยความรับผิดชอบต่อประชาชน ไม่ใช่การแบ่งเค้กชิงผลประโยชน์ สร้างฐานคะแนนเสียง เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องผ่านโครงการต่างๆ เพราะพรก.ทั้ง 3ฉบับ ให้อำนาจฝ่ายบริหารสูงมาก แต่การตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน มีเพียงการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้เพียงไม่กี่คน โดยไม่ต้องรายงานการใช้จ่ายต่อฝ่ายนิติบัญญัติ จึงจำเป็นต้องร่วมกันตรวจสอบให้การใช้เงินเป็นไปอย่างสุจริต ป้องกันการตีเช็คเปล่า ให้รัฐบาลใช้เงินตามอำเภอใจ
หวังผลการเมือง-เอื้อพวกพ้อง
ในส่วน พรก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อโควิด-19 วงเงิน1ล้านล้านบาทนั้น การเยียวยาของรัฐบาลมีปัญหาไม่ครอบคลุมทั่วถึง คนเดือดร้อนจริงกลับไม่ได้ ควรใช้ระบบถ้วนหน้าในการเยียวยา ขณะที่งบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4แสนล้านนั้น ฝ่ายค้านเป็นห่วงที่สุด จะมีปัญหามากที่สุด มีข้อสังเกตว่า แบ่งตามกระทรวงต่างๆไว้หมดแล้ว ทั้งที่ยังไม่เข้าสภา เปิดช่องให้ใช้เป็นเงินเพื่อประโยชน์ทางการเมือง แจกจ่ายให้สส.เสมือนตีเช็คเปล่านำไปทำโครงการแบบเดิมๆ เพื่อประโยชน์พวกพ้องและตอบแทนทางการเมือง โปรดระลึกไว้ว่า เงินทุกบาทคือเงินอนาคตลูกหลาน อย่าเห็นประโยชน์แค่เลือกตั้งครั้งต่อไป แต่จงเห็นประโยชน์ของคนรุ่นต่อไป
‘อนุดิษฐ์’ตั้ง3เงื่อนไขโหวตผ่าน
เวลา 12.40น.น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ สส.เขตสายไหม เลขาธิการพรรคเพื่อไทย อภิปรายว่าขอให้รีบยกเลิก พรก.ฉุกเฉินเพราะจำกัดเสรีภาพประชาชน เป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากิน เศรษฐกิจพังย่อยยับ สถานการณ์โควิดดีขึ้นแล้ว หยุดใช้เพื่อสร้างความหวาดกลัว รัฐบาลมีหน้าที่สร้างความเชื่อมั่นไม่ใช่ฉวยโอกาสทางการเมืองเอาโควิดมาเป็นแพะรับบาป กับความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อย่าใช้โควิดเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือข้ออ้างในการต่ออายุรัฐบาลเด็ดขาด
“พรรคร่วมฝ่ายค้าน ขอเสนอ 3เงื่อนไขหากจะให้สนับสนุนพรก.ดังกล่าว ได้แก่ 1.ให้สส.ตรวจสอบพรก.โดยตั้งกมธ.วิสามัญฯเพื่อทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส 2.รายงานให้สภาฯทราบทุก3เดือนและ3.สนับสุนนให้ปรับปรุงกฎหมายที่ไม่ทันต่อเหตุการณ์ มีข้อบกพร่อง จุดอ่อน อาจจะออกเป็น พรบ.แก้ไขสาระสำคัญของการกู้เงินที่ไม่เป็นประสิทธิภาพ”น.อ.อนุดิษฐ์ ย้ำ
‘ไพบูลย์’ยกไทยที่1เหนือสหรัฐ
ขณะที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ลุกอภิปรายว่ารัฐบาลมีอำนาจต่อการออก พรก.ทั้ง 3ฉบับตามรัฐธรรมนูญ ช่วงแรกของการระบาด ไทยเป็นอันดับสองของโลกรองจากจีน ต่อมากระจายไปทั้งโลก จึงเป็นการพิสูจน์ว่า ผู้นำแต่ละประเทศจะจัดการวิกฤตอย่างไร ปัจจุบันทั่วโลกติดเชื้อ 5.6ล้านคน วันละเกือบแสน เสียชีวิตไปหลายแสนราย ข้อมูลล่าสุดยิ่งสะท้อนความสามารถของ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้นำรัฐบาลไทย เพราะสหรัฐเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงการพัฒนา กลับติดเชื้อมากสุด เสียชีวิตแล้วเป็นแสน ถ้าจะมองแล้ว สหรัฐรักษาคนหายแค่ 20กว่าเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ไทยจากอันดับสองเป็นอันดับ 77 เพราะฝีมือการแก้ปัญหาของ พล.อ.ประยุทธ์ ทั่วประเทศมีผู้ติดเชื้อเพียง 3,054ราย ที่สำคัญรักษาหายไป 2,931คน เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่ง เป็นฝีมือการบริหารประเทศของผู้นำประเทศ ที่เป็นระดับนำของโลกเลย เป็นที่เชื่อถือของโลก มันเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่ใช่ฝีมือบริหารของนายกฯ แน่นอนต้องร่วมมือโดยแพทย์และประชาชน สงครามครั้งนี้ไทยชนะ ผมว่าเป็นอันดับหนึ่งโลกก็ได้
แรมโบ้จัดทีมวอร์รูมพร้อมตอบโต้
ด้าน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญเพื่อพิจารณาพรก.4ฉบับ ว่า ตนได้เตรียมทีมวอร์รูมนอกสภาเหมือนเดิม โดยได้พูดคุยกับทีมงานอดีตนักการเมืองที่มีประสบการณ์ที่เชิญมาช่วยงานรัฐบาลและช่วยงานตน ให้ช่วยติดตามการอภิปรายพรก.เงินกู้ 1ล้านล้าน ช่วยจับประเด็นการอภิปรายของฝ่ายค้านว่า อภิปรายนอกประเด็นหรือไม่ ขอเตือนถึงบรรดาพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า ขอให้อภิปรายอยู่ในข้อบังคับการประชุม อย่าได้ใช้วาทะกรรมใช้ลีลาฝีปากที่ไม่สร้างสรรค์ สร้างเรื่อง กล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีอันเป็นเท็จ ต่อรัฐบาลหรือนายกฯเด็ดขาด เพราะตนและคณะพร้อมตอบโต้ทันที เพราะเราพิจารณา พรก.ไม่ใช่ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี