‘ก้าวไกล’อัดวงเงินฟื้นฟูด้านสธ.ไร้ผู้เชี่ยวชาญ-ปชช.กลั่นกรอง จี้คลายล็อกอย่างมีกลยุทธ์
28 พฤษภาคม 2563 ที่อาคารรัฐสภา (เกียกกาย) ในการอภิปรายกฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 พ.ศ.2563, พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และ พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นกฎหมายจำเป็นเร่งด่วนและมีการบังคับใช้แล้วก่อนที่จะส่งให้สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณาให้ความเห็นชอบนั้น
นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เขต 1 จ.เชียงราย พรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายในส่วนของ พ.ร.ก. ฉบับแรกที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 1 ล้านล้านบาล โดยระบุว่า ด้วยวงเงินนี้รัฐบาลซึ่งมีการกันให้กับด้านสาธารณสุขเป็นจำนวน 45,000 ล้านบาท โดยเปรียบเทียบกับงบลงทุนของกระทรวงสาธารณสุขปี 2563 เท่ากับประมาณ 4 ปี หรือพูดให้ง่ายกว่านั้น เท่ากับ 'ตูน' อทิวราห์ คงมาลัย ต้องวิ่งหาทุนบริจาคอย่างที่เคยทำ 35 รอบ ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นเงินจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วคิดเป็นแค่ 4.5% ของวงเงินกู้ทั้งหมดเท่านั้น และยังมีข้อสังเกตอีกอย่างก็คือคณะกรรมการกลั่นกรองกลับไม่มีผู้มีความรู้ด้านสาธารณสุขเลย รวมทั้งไม่มีตัวแทนที่มาจากประชาชนด้วย ทั้งๆ ที่เป็นเงินกู้ก้อนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย
แต่ที่น่ากังวลที่สุดอยู่ที่รายละเอียดการใช้เงิน ซึ่งอธิบายอยู่ในเอกสารเพียง 5 บรรทัดโดยระบุเพียงเป็นค่าตอบแทน ค่าเสี่ยงภัย ค่าจัดหายาเวชภัณฑ์รวมถึงวัคซีน การตรวจในห้องปฏิบัติการ ค่าวิจัย การรักษา ค่าใช้จ่ายในการกักตัว รวมทั้งเหตุฉุกเฉิน วัคซีนจึงเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยมากในวงเงินนี้ ในขณะที่สิ่งที่รัฐทำอยู่คือการที่ยังไม่ยอมคลายการปิดล็อก ซึ่งเหมือนเป็นการรอความหวังจากวัคซีนอย่างเดียว ซึ่งต้องยอมรับความจริงก่อนว่าอย่างน้อยที่สุดต้องใช้เวลาอีก 1 ปี
นพ.เอกภพ กล่าวอีกว่า อยากชวนย้อนดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มมีผู้ป่วยในประเทศรายแรกจนมาถึงจุดเปลี่ยนต้นเดือนมีนาคม กับการมีแหล่งเกิด Super Spread อย่างสนามมวยและการปาร์ตี้ที่ย่านทองหล่อจนเกิดการสะสมผู้ติดเชื้อเพิ่มอย่างรวดเร็ว และการประกาศปิดเมืองของกรุงเทพมหานครในปลายมีนาคม เกิดการกระจายตัวของผู้คนออกไปต่างจังหวัดซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง เกิดการรักษาระยะห่างแบบที่ไม่ได้ตั้งใจ รวมทั้งการทำงานอย่างเข้มแข็งของ อสม. ทำให้การแพร่ระบาดเป็นไปได้ยาก รวมถึงขอให้ย้อนกลับไปดูการแพร่ระบาดในอดีตของไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่วัคซีนทำสำเร็จภายในปีเดียวกับการเกิดผู้ป่วยคนแรกในโลก
“นั่นเป็นเพราะมีการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นก็ดีการฉีดวัคซีนเข็มแรกในประเทศไทยก็เกิดขึ้นหลังจากนั้นราวครึ่งปี ก่อนการระบาดระลอกที่สอง ในฐานะแพทย์อยากชี้ให้เห็นว่าการระบาดเป็นระลอกนั้นเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ของโรคระบาด ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ” นพ.เอกภพ กล่าว
นพ.เอกภพ กล่าวด้วยว่า แม้การล็อกดาวน์เป็นการยับยั้งไม่ให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นรวดเร็วจนบุคลากรทางการแพทย์รับมือไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามรัฐต้องคิดให้ได้ก่อนว่าผู้ติดเชื้อไม่ใช่ผู้ร้าย ชัยชนะที่ได้ต้องไม่เกิดบนซากปรักหักพังของเศรษฐกิจ ขณะนี้ประชาชนจำนวนมากลำบากขนาดขาดแคลนแม้อาหารประจำวัน การปิดเมือง ล็อกดาวน์ ซึ่งไม่ต้องการให้จำนวนคนไข้เพิ่มสูงขึ้นเร็วจนรับมือไม่ไหวนั้น ได้ผลการดำเนินการเรื่องต่อสู้กับโคโรนาไวรัส แต่จะตั้งการ์ดอย่างเดียวรอหมัดน็อกจากวัคซีน ที่สุดเราอาจแพ้ก็ได้ เพราะหากเทียบกับระยะเวลามีวัคซีนของครั้งที่แล้ว จะเห็นว่านานมา ตนจึงขอเสนอให้คลายล็อกเศรษฐกิจมีการขับเคลื่อน เป็น cyclic lockdown ที่มีวงจรเปิดแล้วติดเชื้อเพิ่มก็ปิดใหม่ แล้วเปิดอีกอย่างมีกลยุทธ์สลับกันไป พร้อมกันนั้น ต้องเพิ่มศักยภาพของสาธารณสุข หากที่ผ่านมาเป็นการตั้งการ์ดสูง จากนี้ต้องพิงเชือก ตั้งการ์ดแล้วต้องมีหมัดสวน
น.พ.เอกภพ กล่าวว่า ในทางระบาดวิทยา ประชาชนต้องมีผู้มีภูมิคุ้มกัน 60-80 % จึงจะหยุดการระบาดได้ ซึ่งราคาวัคซีนที่มีการประเมินกันขณะนี้คือเข็มละ 300-1,000 บาท คิดเป็นวงเงินที่ต้องใช้ 12,060 - 67,000 ล้านบาท ปัจจุบันหน่วยงานผลิตวัคซีนในไทยมี 2 แห่ง สถานเสาวภาและองค์การเภสัชกรรม แต่ทั้ง 2 แห่งไม่เคยผลิตวัคซีนใหม่ๆ รวมทั้งศักยภาพของปริมาณที่ผลิต หากไม่ต้องการรอการผลิตวัคซีนจากต่างประเทศเป็นเวลานานๆ ต้องพัฒนาเทคโนโลยีและความสามารถในการผลิตส่วนนี้ เป็นตัวยืนยันด้วยว่าประชาชนจะได้รับวัคซีนแบบถ้วนหน้า ในฐานะที่เป็นแพทย์ เชื่อว่าบุคคลากรทางการแพทย์ยินดีที่จะรักษาผู้ป่วยทุกราย ยินยอมให้เปิดเมืองเพื่อประชาชนไม่อดตาย แต่รัฐต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่ อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องขาดแคลนทุกๆ อุปกรณ์ ไม่ใช่ต้องรอรับการบริจาค หรือต้องใช้เสื้อกันฝนแทนชุด PPE
“ข้อเสนอของพรรคก้าวไกลคือ เสนอให้มีการปรับวงเงินกู้เพื่อใช้สำหรับด้านสาธารณสุขเพิ่มเป็น 1 แสนล้านบาท โดยใช้ 6 หมื่นล้านบาทสำหรับวัคซีนเมื่อมีการผลิตได้สำเร็จโดยที่ประชาชนทุกคนต้องมีสิทธิ์เข้าถึง และอีก 4 หมื่นล้านบาทสำหรับการพัฒนาศักยภาพระบบสาธารณสุข การจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยา และสำหรับสนับสนุนบุคลากร การต่อสู้กับโรคระบาดต้องเป็นการต่อสู้จากความร่วมมือของทุกคนทุกฝ่าย เมื่อถึงวันประกาศชัยชนะต้องเป็นชัยชนะของทุกคน ไม่ใช่ชัยชนะบนความยากลำบากของประชาชนบนฐานของหนี้ก้อนใหญ่ที่คนรุ่นต่อๆ ไปต้องมาชดใช้ เมื่อไหร่ที่ชนะต้องชนะด้วยกัน” นพ.เอกภพ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี