‘ชลน่าน’ อัดรัฐเหลวบริหารภาวะวิกฤตโควิด - ส่อทุจริต ใช้เป็นข้ออ้างเอื้อมั่นคง ซัดอย่าเคลมเป็นผลงานแก้ปัญหาสำเร็จ ขณะที่"กรณิศ”ชม รบ.แก้ปัญหาได้ดีจนทั่วโลกชื่นชม เชื่อไทยช่วยเหลือ ปชช.มากกว่านานาประเทศ
วันที่ 28 พฤษภาคม 2563 ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีประชาชน 5 แสนคน เดือดร้อนจากพิษไวรัสโควิด และอีก 66,500,000 คน เดือดร้อนจากพิษการบริหารผิดพลาดของรัฐ การทุจริตหาผลประโยชน์จากอุปกรณ์ทางการแพทย์ การบริหารสภาวะวิกฤตล้มเหลว โดยใช้โควิด – 19 เป็นข้ออ้างสร้างความมั่นคงให้รัฐบาล เพราะการต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือน ชัดเจนว่า เพื่อรักษาความมั่นคงต่ออายุให้รัฐบาลชุบชีวิตตัวเอง เพราะทุกคนรู้ดีว่าก่อนการแพร่ระบาดของโรคสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ถ้ารัฐบาลละอายและเกรงกลัวต่อบาป ก็อย่าอ้างผลสำเร็จในการควบคุมโรคว่าเป็นผลงานของตัวเอง เพราะความสำเร็จของการควบคุมโรคเกิดจากความร่วมมือของประชาชน ความรู้ความสามารถของแพทย์ และระบบสาธารณสุขของประเทศ ที่แม้ไม่มีรัฐบาลชุดนี้คนกลุ่มนี้ก็ควบคุมโควิดได้ ส่วนพ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ควรยกเลิกได้แล้ว เพราะเป็นมาตรการยาแรงในการใช้รักษาโรค ตอนนี้โรคหายแล้ว แต่คนกำลังจะตาย นายกฯควรรีบฟื้นฟูให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ
“โควิด-19 คือแพะที่รัฐบาลใช้แสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง เป็นโล่ป้องกันการทำงานที่ผิดพลาดของท่าน การจะพิจารณาว่าจะอนุมัติพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่ส่วนตัวให้คะแนนสอบตก ถ้าเห็นแก่ประชาชนก็จะขอพิจารณาในวันสุดท้าย สำหรับข้อเสนอหลังจากนี้ ได้แก่ การขึ้นทะเบียนอาชีพ ปรับปรุงฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร การจัดตั้งกองทุนคุ้มครองกลุ่มอาชีพอิสระต่างๆ การตั้งกมธ.วิสามัญติดตามการใช้เงินกู้ โดยพรรคเพื่อไทยจะยื่นญัตติด่วนต่อประธานสภาฯ ให้มีการตั้งคณะกมธ.วิสามัญฯ และให้มีการตรวจสอบจากภาคประชาชนคู่ขนานไปกับสภาด้วย” นพ.ชลน่าน กล่าว
ขณะที่นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส. เขตคลองเตย-วัฒนา พรรคพลังประชารัฐ กล่าวอภิปรายว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาส่งผลให้คนไทยทั่วประเทศได้รับผลกระทบ ซึ่งได้เห็นการทำงานของรัฐบาลที่มีเป้าหมายที่จะเยียวยาประชาชนทั่วประเทศให้มีประสิทธิภาพ ตนเห็นด้วยกับ พรก.กู้เงินทั้ง 3 ฉบับนี้ โดยเฉพาะ พรก.ฉบับแรก จำนวนเงิน 1.1 ล้านบาท ที่นำเงินไปเยียวยาประชาชนจากปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องรีบตัดสินใจช่วยเหลือประชาชนในการใช้ชีวิตประจำสัน โดยในตอนแรกเสียงสะท้อนที่ออกมาอาจจะมองว่ารัฐบาลทำงานล่าช้า ไม่ทั่วถึง หลายๆกลุ่มอาชีพ รวมถึงกลุ่มเปราะบาง ที่ได้รับการเยียวยาจากรัฐบาล และเมื่อนำมาตรการเยียวยาของประเทศไทยไปเปรียบเทียบกับนานาประเทศ จะเห็นว่าไม่มีความแตกต่าง หลายประเทศยังให้การชื่นชมว่าประเทศไทยเป็น 1 ใน 10 ของประเทศที่จัดการกับปัญหาโควิดได้ดีเยี่ยม
นางกรณิศ กล่าว ค่าจีดีพีที่เกิดขึ้นภายหลังจากมีการอัดเงินเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาแล้ว ไม่ถือว่ามากเกินไป หากนำเปรียบเทียบกับประเทศชั้นนำอย่าง ญี่ปุ่น มาเลเซีย และประเทศในแถบยุโรป ถ้าจะยกตัวอย่างประเทศเวียดนามจะพบว่า มีการช่วยเหลือประชาชนในอัจรา 10-20 % ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งนำมาเปรียบเทียบกับเราแล้วจะเห็นเป็นจำนวนที่น้อยมาก ต้องถือว่าประเทศเรามาถูกทาง และช่วยเหลือประชาชนได้จำนวนมาก
“ขอเสนอไปยังรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาที่เกืดขึ้นจะต้องอาศัยความรวดเร็วและแม่นยำ จึงต้องมีระบบเทคโนโลยีอย่าง เอไอ บิ๊กดาต้า เข้ามาช่วย ซึ่งตนรู้ว่ารัฐบาลมีข้อมูลอยู่แล้วที่จะนำไปสู้ผลที่สำเร็จจากโครงการไทยแลนด์ 4.0 และชิมช้อปใช้ ที่ถือเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญ แต่เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น หน่วยงานทั้งหมดจะต้องมาซิงค์ข้อมูลกับรัฐบาล ซึ่งเป็นดารบูรณาการร่วมกัน เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดและมีประสิทธิภาพ และอีกเรื่องที่สำคัญที่สุดในการเยียวยาประชาชนครั้งนี้ คือระบบป้องกันการทุจริต เพราะเม็ดเงินจะยิงตรงไปถึงประชาชน โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง “นางกรณิศ กล่าว
นางกรณิศ ยังกล่าวต่อว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องเรียกร้องคือระบบการคืนเงินประกันสังคมให้กับผู้ประกันตนทุกคน ที่ต้องการจะนำเงินที่เก็บออมเอาไว้มนอยาคตออกมาต่อลมหายใจในช่วงนี้ ตนขอให้รัฐบาลได้จีวจสอบระเบียบข้อนี้ด้วย ว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างไรบ้าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี