ถกพรก.กู้เงินยกสอง
สุดกร่อย-ไม่ร้อนแรง
ฝ่ายค้านขู่ไม่ตั้งกมธ.
ดึงภาคปชช.ร่วมสอบ
อภิปรายพ.ร.ก.กู้เงินวันที่สองสุดกร่อย “เพื่อไทย” ซัดรัฐบาลหละหลวมปล่อยโควิด-19 ระบาด แนะรีบปรับแผน “สาธารณสุขกับเศรษฐกิจ” ก่อนเศรษฐกิจยิ่งพัง‘โสภณ”ติงให้งบสู้โควิดน้อยเกินไป ควรเพิ่มค่าตอบแทน อสม.และฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน“รังสิมา”ห่วงตัวเขมือบเงิน แช่งให้มีอันเป็นไป จี้”นายกฯ”เอาจริง หนุนตั้งกมธ. ตรวจสอบงบ “อนุทิน”ลั่นสธ.พร้อมดูแลคนไทย หากระบาดรอบ2 ย้ำไทยเป็นแชมป์ สธ.ต้องคิดค้นวัคซีนให้ได้ ‘ปธ.วิปค้าน’ยังไม่พอใจอภิปรายพรก.กู้เงิน ชี้รบ.แจงไม่ชัดเจนขู่ไม่ตั้ง กมธ.ดึงปชช.ร่วมสอบ
เมื่อเวลา 09.30น.วันที่ 28พฤษภาคม ที่รัฐสภานายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุมได้เปิดโอกาสให้ส.ส.หารือปัญหาความเดือดร้อนก่อนจะเข้าสู่การพิจารณาเรื่อง พระราชกำหนด(พรก.)ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563หรือพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เป็นวันที่สอง
พท.ซัดหละหลวมทำระบาด
เวลา09.45น.นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายเป็นคนแรกว่า ประเทศไทยควบคุมโรคได้ดีแต่มีความผิดพลาดเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อันเป็นผลมาจากปล่อยให้มีกิจกรมเสี่ยงชกมวยที่ลุมพินีเมื่อต้นเดือนมี.ค.2563ทำให้เชื้อกระจายออกไป รวมถึงปล่อยนักท่องเที่ยวจากประเทศกลุ่มเสี่ยง นำเชื้อเข้ามา เพราะรัฐบาลหละหลวมช่วงแรก ไม่คัดกรองอย่างดี ประกอบกับการขาดแคลนหน้ากากอนามัย ชุดพีพีอีของแพทย์ ในที่สุดนำไปสู่การปิดกิจการธุรกิจต่างๆจนเกิดปัญหาเศรษฐกิจตามมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผู้นำประเทศควรมีวิสัยทัศน์ถ่วงดุลระหว่างมาตรการแพทย์กับมาตรการทางเศรษฐกิจให้ลงตัว ไปด้วยกันได้ มิฉะนั้นเศรษฐกิจก็ยิ่งแย่ไปกันใหญ่
‘โสภณ’หนุนเติมงบฯระบบสธ.
จากนั้น นายโสภณ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ลุกอภิปรายสนับสนุนว่าวันนี้มีความจำเป็นต้องกู้ เพื่อรักษาชีวิต เพียงแต่การรักษาจะถูกวิธีหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต หน่วยงานกระทรวงสาธารณสุขควรได้รับความชมเชย พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับสภาฯไม่สามารถปรับลดเม็ดเงินได้ แต่สภาฯสามารถสะท้อนปัญหา นำข้อมูลให้รัฐบาลไปแก้ไข รัฐบาลต้องใช้เงินให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ทั้งนี้พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 แบ่งเป็น 2ส่วน1.เม็ดเงิน6 แสนล้านบาท เพื่อเยียวยาประชาชน2.เม็ดเงิน4หมื่นล้านบาท เพื่อการสาธารณสุข
ทั้งที่ เป็นที่ทราบดีว่า ระบบสาธารณสุขไทยได้รับความชื่นชม แต่เหตุใดได้เงินแค่ 4หมื่นล้านบาท ระบบสาธารณสุขไทยจะถึงเส้นชัยอยู่แล้ว เงิน 4หมื่นล้านบาท คิดเป็นแค่ 4%เท่านั้น หากเติมเงินเข้าไปจะทำให้สาธารณสุขไทยเป็นพระเอกของโลก ทำไมไม่เติมเม็ดเงินเข้ามาในระบบสาธารณสุขให้มากขึ้น แม้จะเปลี่ยนเม็ดเงินไม่ได้ แต่เปลี่ยนวิธีการได้ โดยการเยียวยาต้องมองสองอย่าง ได้แก่ 1.ให้ประชาชนอยู่ได้ 2.เยียวยากลุ่มคนที่ทำหน้าที่สาธารณสุขให้มีขวัญกำลังใจ เราไม่รู้สถานการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่จึงต้องสร้างขวัญและกำลังใจ
“รังสิมา”ร้องกำจัดตัวเขมือบ
น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์อภิปรายว่ารัฐบาลต้องใช้เงินกู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่ผ่านมาการช่วยเหลือของรัฐบาลยังตกหล่นอยู่พอสมควร ขอให้เก็บตก ผู้ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือให้หมด รัฐบาลจะได้ไม่ถูกด่า ตอนนี้ ส.ส.ถูกด่าทุกวัน
ส่วนตัวเห็นด้วยกับ พ.ร.ก.กู้เงิน แต่ไม่เห็นด้วยกับตัวเขมือบโครงการ มันมีทุกที่ อบต. อบจ.ซื้อของแพง นักการเมืองบางคนเอาวิกฤตเป็นโอกาส อยากให้หมดไปจากประเทศ ภาวนาให้มันมีอันเป็นไป แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ทำงานช้ามาก ไม่ทันใจ ยิ่งการกู้เงินมหาศาล ตัวเขมือบจะเข้ามาเยอะอยากให้ นายกฯ เอาจริงกับตัวเขมือบให้หมดไป ไม่ต้องเกรงใจว่าเป็นใคร และต้องตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาตรวจสอบโครงการเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนด้วย
หมอหนูยันสธ.ไทยมาตรฐานโลก
ต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข(สธ.)ชี้แจงต่อที่ประชุมว่านับตั้งแต่มีข่าวการระบาดโควิด -19ตั้งแต่ปลายเดือน ธ.ค.2562 สธ.โดยกรมควบคุมโรค ตั้งทีมป้องกันคัดกรองผู้ที่เข้าสู่ประเทศไทย ตั้งแต่ก่อนสิ้นปี 2562และใช้ช่วงหยุดสิ้นปีเตรียมทุกอย่างให้พร้อม เมื่อเปิดมาวันที่ 3 ม.ค. 2563 จะมีการคัดกรองผู้ที่เข้ามายังประเทศไทยในจุดสำคัญ เช่น สนามบิน ท่าเรือและประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกที่ประกาศว่าพบผู้ป่วยโควิด-19นอกประเทศจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวจีนรายแรกที่เดินมายังประเทศไทย เราทำการรักษาจนหายดีและส่งกลับประเทศ โดยถือว่าเป็นประโยชน์ของประเทศไทยเพราะหลังจากนั้นเราได้รับการช่วยเหลือจากประเทศจีนเป็นอย่างดีทั้งเวชภัณฑ์ ยาและข้อมูลต่างๆ จากประเทศจีนมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ การติดเชื้อในสถานที่ต่างๆโดยรัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ มาควบคุมเช่นที่สนามมวยโดยสามารถสอบสวนโรค นำผู้ติดเชื้อกลับมารักษาทุกคน ขณะนี้กลับบ้านได้หมดแล้ว ขอยืนยันว่าระบบการรักษาของระบบสาธารณสุขไทย อยู่เหนือมาตรฐาน ที่องค์การอนามัยโลกได้กำหนดไว้
ย้ำดูแลคนไทยกลับตปท.อย่างดี
รมว.สาธารณสุข กล่าวด้วยว่า ที่มีการถามว่าปล่อยให้นักท่องเที่ยวประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้ามาประเทศไทยมากนั้น รัฐบาลเริ่มจากการใช้พ.ร.บ. ควบคุมโรคติดต่อ และประกาศให้โคิด-19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรง และห้ามนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทย ทั้งการเดินทางทางอากาศและการกักตัว 14 วัน ในสถานที่ควบคุมที่รัฐบาลกำหนดรวมทั้ง การตรวจสอบจากประเทศต้นทางก่อนมาประเทศไทย โดยใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ ก็หยุดนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างเด็ดขาด จนขณะนี้การแพร่เชื้อในประเทศไทยไม่มีแล้ว เพราะเราตั้งการ์ดสูงอย่างเต็มที่ แต่วันนี้ก็ยังมีการเตรียมพร้อมมีการควบคุมอยู่ เพื่อเตรียมพร้อมไว้รองรับคนไทยที่อยู่ต่างประเทศที่กำลังจะเดินทางกลับไทย คนกลุ่มนี้จะต้องมีการตรวจและกักกันตัวจึงเชื่อว่าจะไม่เกิดการแพร่ระบาดอีก
พร้อมรับระบาดรอบ2-ชมอสม.
นายอนุทินกล่าวว่าสำหรับความพร้องของกระทรวงสาธารณสุข โดยโรงพยาบาลหลักมีความพร้อมในการให้บริการ มีระบบคัดแยกผู้ป่วย ระบบการรักษาและการติดตามเฝ้าระวังโดยทุกจังหวัดในประเทศไทย มีห้องแยกผู้ป่วยโควิด-19โดยเฉพาะ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่ระบาดในโรงพยาบาลนั้นๆ ส่วนกรณีที่มีต่างชาติลักลอบเข้ามาในประเทศและมีผู้ติดเชื้ออยู่ด้วย โดยหลักมนุษยธรรมเราก็ไม่ได้ผลักดันเขากลับประเทศ แต่ก็ให้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลเราไม่ได้
ทั้งนี้ สาธารณสุข ได้เตรียมสถานที่กักกันและตั้งโรงพยาบาลสนามได้ในภายเวลา 24 ชั่วโมง อย่างมีคุณภาพ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของไทย อีกทั้งเรายังเตรียมความพร้อมหากมีการระบาดรอบ 2 ซึ่งตนเชื่อว่าไม่น่าเกิดแต่เราก็ไม่ได้ประมาท ทั้งนี้ หากเกิดการระบาดรอบ2 ตนยืนยันได้ว่ากระทรวงสาธารณสุข มีความพร้อมดูแลทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย นอกจากนี้ ขอชมเชย อสม.ล้านกว่าคน ที่มีส่วนช่วยในการหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19ซึ่งตนเห็นว่าถึงเวลาที่เราจะต้องตอบแทนเมื่อถึงเวลานั้น
ไทยต้องแชมป์สธ.ทำวัคซีนให้ได้
“สธ.เราไม่ได้การ์ดตกและขอให้พี่น้องประชาชน ตั้งการ์ด ศัตรูของเรา คือ โควิด-19 ถ้าชกกันตอนนี้คะแนนเรานำอยู่ เราจะน็อกเขาได้ เมื่อมีวัคซีนป้องกัน ซึ่งในงบ 4.5หมื่นล้านซึ่งงบส่วนนี้ได้ให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติพัฒนาวัคซีนดังกล่าวนี้ซึ่งประเทศไทยเหลืออย่างเดียวที่จะเป็นแชมป์ด้านสาธารณสุขของโลกคือต้องคิดค้นวัคซีนให้ได้ และขอยืนยันว่างบที่ สธ.ได้จะใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก่อนหน้านี้ ตนอ่านข่าวว่าบางประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ชี้ว่าคนนั้นต้องอยู่คนนั้นต้องตาย แต่ประเทศไทย ไม่มีวันนั้นที่แพทย์จะต้องชี้ว่าใครจะอยู่หรือตาย ทั้งนี้มั่นใจว่าการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 3 เป็นไปเพื่อเข้าสู่การผ่อนคลายการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน”นายอนุทิน กล่าว
หมอเรวัตจี้นายกฯยื่นรายละเอียด
หลังจากนั้นนพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อภิปรายเสนอขอให้สภาฯ พักหรือเลื่อนการประชุมจนกว่า นายกฯจะนำเอกสารแนบท้าย พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และรายละเอียดมา เสนต่อสภาฯและเหตุผลที่เป็นข้อสงสัยทั้งกรณีการใช้เงินกู้ที่ให้ ครม.อนุมัติเท่าที่จำเป็น อะไร คือ ความจำเป็น ความสามารถของการชำระหนี้คืน จะอยู่ภายใต้เวลากี่ปี มีรายละเอียด หรือ หลักเกณฑ์อย่างไร เพราะหนี้ที่เกิดขึ้นเป็นหนี้ทั้งหมดของประชาชน ซึ่งสถานการณ์โควิด-19ประชาชนได้รับผลกระทบทุกภาคส่วน แต่ทำไมเลือกเยียวยา เพียงบางส่วนเท่านั้น
“การขาดรายละเอียด หรือ การนำเอกสารแนบท้ายมาชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯ เท่ากับว่ารัฐบาลจงใจตีเช็คเปล่า ด้วยวงเงินสูงสุด 9.5 แสนล้านบาท แม้จะอ้างว่าต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง แต่เป็นเพียงการเล่นคำทางกฎหมายเท่านั้น และตนไม่สามารถอนุมัติ พ.ร.ก.กู้เงินได้” นพ.เรวัต ย้ำ
คิดหนักจำใจโหวต-อุ้มเจ้าสัว
ส่วน นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่าตนพร้อมสนับสนุน พ.ร.ก.กู้เงิน ฉบับ 1 ล้านล้านบาท เพราะสงสารประชาชน และต้องการให้โอกาสกับการพัฒนาประเทศ ส่วนพ.ร.ก.อีก 2 ฉบับ ที่ช่วยกลุ่มที่มีสถานะเป็นเศรษฐีนั้น ตนคิดหนักแต่ต้องจำใจ เพราะรัฐบาลนำประชาชนเป็นตัวประกัน และขอฝาก พล.อ.ประยุทธ์ อยู่20ปี หากแก้โควิด แก้หนี้สิน เศรษฐกิจของประชาชนหมดไป
“ภราดร”แนะเพิ่มงบให้’สธ.’
ขณะที่ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย อภิปรายเสนอแนะให้สร้างความเข้มแข็งกับงานด้านสาธารณสุข เพราะงบประมาณจากการกู้เงิน ที่จัดสรร 4.5 หมื่นล้านบาท เพื่อสาธารณสุข ถือว่าน้อยมาก จึงควรใช้วิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสของการสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุข ที่ใจสู้ แม้จะเผชิญกับความขาดแคลน
ปธ.วิปค้านไม่พอใจแจงไม่ชัด
ทางด้านนายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) กล่าวก่อนการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นวันที่สองว่า รู้สึกพอใจกับภาพรวมของการอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงินเมื่อวันที่ 27พ.ค.ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มากเพราะเป็นการอภิปรายภาพรวม ส่วนการชี้แจงของรัฐบาลก็ยังไม่ชัดเจนไม่มีรายละเอียดของแผนงาน ไม่มีการสร้างการรับรู้ให้สมาชิก
แนะเพิ่มมาตรการสกัดทุจริต
ประธานวิปฝ่ายค้านกล่าวว่าในพระราชกำหนด รัฐบาลต้องเพิ่มมาตรการป้องกันการทุจริตให้มากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้มีหลายคนเรียกร้องให้ตั้งกรรมาธิการขึ้นมาตรวจสอบ เพราะในพระราชกำหนด กำหนดไว้เพียงการให้รัฐบาลรายงานต่อสภาปีละครั้ง แต่ให้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีทุก 3 เดือน จึงตั้งข้อสังเกตว่าทำไมไม่รายงานต่อสภาทุก 3 เดือนเช่นกัน ส่วนการตอบคำถามของนายกรัฐมนตรี เรื่องการฟื้นฟูการเกษตร นายกรัฐมนตรีตอบเพียงว่า ทำแล้ว ทำมาตลอด แต่สิ่งที่อยากได้ยินคือ การตั้งเป้าหมายว่าจะทำได้ในระดับใด สำหรับการอภิปรายในวันที่ 28พ.ค.เน้นเรื่องสาธารณสุข ที่รัฐบาลบอกว่ามีมาตรฐานสูง แต่งบประมาณที่จัดสรรไปให้จำนวน 4 หมื่น 5 พันล้านนั้นกลับเท่ากับเงินที่ต้องไปชดเชยกับตราสารหนี้ จึงอยากฟังคำชี้แจงในเรื่องนี้ เพราะไม่เช่นนั้นจะเท่ากับการช่วยเหลือเจ้าสัว
ดึงปชช.ร่วมกมธ.ตรวจใช้เงิน
นายสุทิน ยังกล่าวถึงการตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ว่า ถ้าหากไม่มีการตั้งกรรมาธิการนี้ ก็จะตั้งภาคประชาชนร่วมกับฝ่ายค้านขึ้นมาตรวจสอบอย่างแน่นอน เพราะกรรมาธิการจะตรวจสอบได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่การใช้งบประมาณครั้งนี้ยังต้องใช้อีกยาว ส่วนที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอพระราชบัญญัติขอแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดนั้น ยังไม่แน่ใจว่าจะผ่านหรือไม่ ขณะที่ทิศทางการลงมตินั้น จะมีการหารือกันอีกครั้งในวันเสาร์ที่30 พ.ค.นี้ ซึ่งคาดว่าการลงมติแต่ละฉบับจะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับเหตุผล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี