เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Watana Muangsook ระบุว่า จากการอภิปราย พรก. เงินกู้ 1.0 ล้านล้านบาท สิ่งที่พรรคเพื่อไทยเป็นห่วงมากที่สุดคือเศรษฐกิจ เพราะมาตรการที่รัฐบาลใช้ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 ไม่ได้สัดส่วนกับสถานการณ์ของโรคอันจะทำให้เศรษฐกิจเสียหายอย่างรุนแรง
ห่วงประการแรกคือเงินกู้จำนวน 1.0 ล้านล้านบาทและที่จะต้องกู้มาชดเชยการขาดดุลงบประมาณประจำปี 2564 อีก 523,000 ล้านบาท จะทำให้อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีพุ่งขึ้นไปถึงร้อยละ 57 นั่นคือรัฐบาลจะสามารถกู้ยืมเงินได้อีกไม่เกินร้อยละ 3 หรือเป็นเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท หากรัฐบาลไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือมีกรณีฉุกเฉินที่ต้องใช้เงินอีกรัฐบาลจะเอาที่ไหนมาแก้ปัญหา
ห่วงต่อมาคือเงินกู้ 400,000 ล้านบาท ที่จะใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ถือเป็นเงินก้อนสุดท้ายแล้วซึ่งรัฐบาลมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในอันเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวเดียวที่จะต้องจุดให้ติดเพื่อต่อลมหายใจประเทศ แต่ตามแผนงานบัญชีแนบท้าย พรก. รวม 4 แผนล้วนมุ่งเน้นการใช้เงินเพื่อการลงทุน ปัญหาคือรัฐบาลจะสร้างกำลังซื้อให้เกิดขึ้นกับคนไทยได้อย่างไรเพราะขาดกำลังซื้อมาก่อนที่จะเกิดโควิดแล้ว หากปราศจากกำลังซื้อเงินลงทุนก้อนนี้จะหมดไปโดยไม่ได้อะไรคืนมา
ห่วงต่อมาคือคนตกงานอีกราว 8-10 ล้านคน ที่ไม่มีจะกินและการเยียวยาของรัฐบาลจะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน ปัญหาที่รัฐบาลยังไม่ตอบคือจะดูแลคนพวกนี้อย่างไร ถ้าจะกู้เงินเพิ่มก็ทำไม่ได้เพราะชนเพดานหนี้สาธารณะแล้ว ส่วนการลงทุนเพื่อรองรับเศรษฐกิจใหม่หลังโควิด19 ก็ยังไม่เห็นวิสัยทัศน์ของรัฐบาล นอกจากการออกมาแก้ตัวของพลเอกประยุทธ์ว่าไม่ได้ก่อหนี้เพิ่ม ทั้งที่เป็นคนเดียวที่ก่อหนี้สูงสุดให้กับประเทศก่อนที่จะเกิดโควิด19 ตามหลักฐานการก่อหนี้สาธารณะที่โพสต์มา
ผมได้แต่เอาใจช่วยเพราะรัฐบาลต้องการเอาการแก้ปัญหาโควิด19 มากลบความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ถ้าไม่มีปัญญาแก้ปัญหาก็ควรให้ประชาชนได้กลับไปทำมาหากิน จำไว้ว่า ยิ่งยกเลิก พรก. ฉุกเฉินช้าหายนะและกลียุคจะมาเร็วมากขึ้น.
จากการอภิปราย พรก. เงินกู้ 1.0 ล้านล้านบาท สิ่งที่พรรคเพื่อไทยเป็นห่วงมากที่สุดคือเศรษฐกิจ เพราะมาตรการที่รัฐบาลใช้ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด19 ไม่ได้สัดส่วนกับสถานการณ์ของโรคอันจะทำให้เศรษฐกิจเสียหายอย่างรุนแรง
ห่วงประการแรกคือเงินกู้จำนวน 1.0 ล้านล้านบาทและที่จะต้องกู้มาชดเชยการขาดดุลงบประมาณประจำปี 2564 อีก 523,000 ล้านบาท จะทำให้อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีพุ่งขึ้นไปถึงร้อยละ 57 นั่นคือรัฐบาลจะสามารถกู้ยืมเงินได้อีกไม่เกินร้อยละ 3 หรือเป็นเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท หากรัฐบาลไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือมีกรณีฉุกเฉินที่ต้องใช้เงินอีกรัฐบาลจะเอาที่ไหนมาแก้ปัญหา
ห่วงต่อมาคือเงินกู้ 400,000 ล้านบาท ที่จะใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ถือเป็นเงินก้อนสุดท้ายแล้วซึ่งรัฐบาลมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในอันเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวเดียวที่จะต้องจุดให้ติดเพื่อต่อลมหายใจประเทศ แต่ตามแผนงานบัญชีแนบท้าย พรก. รวม 4 แผนล้วนมุ่งเน้นการใช้เงินเพื่อการลงทุน ปัญหาคือรัฐบาลจะสร้างกำลังซื้อให้เกิดขึ้นกับคนไทยได้อย่างไรเพราะขาดกำลังซื้อมาก่อนที่จะเกิดโควิดแล้ว หากปราศจากกำลังซื้อเงินลงทุนก้อนนี้จะหมดไปโดยไม่ได้อะไรคืนมา
ห่วงต่อมาคือคนตกงานอีกราว 8-10 ล้านคน ที่ไม่มีจะกินและการเยียวยาของรัฐบาลจะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน ปัญหาที่รัฐบาลยังไม่ตอบคือจะดูแลคนพวกนี้อย่างไร ถ้าจะกู้เงินเพิ่มก็ทำไม่ได้เพราะชนเพดานหนี้สาธารณะแล้ว ส่วนการลงทุนเพื่อรองรับเศรษฐกิจใหม่หลังโควิด19 ก็ยังไม่เห็นวิสัยทัศน์ของรัฐบาล นอกจากการออกมาแก้ตัวของพลเอกประยุทธ์ว่าไม่ได้ก่อหนี้เพิ่ม ทั้งที่เป็นคนเดียวที่ก่อหนี้สูงสุดให้กับประเทศก่อนที่จะเกิดโควิด19 แล้ว ตามหลักฐานการก่อหนี้สาธารณะที่โพสต์มา
ผมได้แต่เอาใจช่วยเพราะรัฐบาลต้องการเอาการแก้ปัญหาโควิด19 มากลบความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ ถ้าไม่มีปัญญาแก้ปัญหาก็ควรให้ประชาชนได้กลับไปทำมาหากิน จำไว้ว่ายิ่งยกเลิก พรก. ฉุกเฉินช้าหายนะและกลียุคจะมาเร็วมากขึ้น
วัฒนา เมืองสุข
29 พฤษภาคม 2563
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี