“ชลน่าน” ลั่นไม่รับหลักการ พ.ร.บ.โอนงบฯ ตั้งฉายานายกฯ “จอมโอนแห่งยุค” ชี้ ขัดต่อหลัก ปชต.-กฎหมาย
เมื่อวันที่4มิถุนายน 2563 เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ....วงเงิน 88,452 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงหลักการและเหตุผลของการเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณฯ เป็นการให้โอนงบประจำปีรายจ่ายบางรายการไปเป็นงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 8.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการแก้ปัญหาและบรรเทาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เราถือว่า การแพร่ระบาดครั้งนี้เป็นภัยพิบัติร้ายแรงส่งผลต่อประชาชนและเศรษฐกิจ ที่ผ่านมารัฐบาลใช้จ่ายงบกลาง รายการสำรองจ่าย เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ส่งผลให้เงินที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอ จึงมีความจำเป็นต้องโอนงบไปตั้งไว้เป็นงบกลาง
“เมื่อร่างกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ หน่วยรับงบประมาณจะสามารถขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น เพื่อนำไปดำเนินการในโครงการหรือแผนงานที่สำคัญสอดคล้องกับภารกิจใน 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1.การแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกรทะบ 2.การป้องกันและเยียวยา ภัยพิบัติ ภัยแล้ง อุทกภัย ที่อาจเกิดขึ้นในปลายปี 63 3.แก้ไขปัญหาที่มีเหตุฉุกเฉินหรือที่จำเป็น ผมหวังว่า ส.ส.จะให้การสนับสนุนและรับหลักการร่างกฏหมายนี้ เพื่อนำงบประมาณแผ่นดินไปดำเนินการในเหตุการณ์เร่งด่วนอย่างคุ้มค่า โปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนสืบไป ดังนั้น ผมจึงขอเสนองบประมาณร่างพ.ร.บ.นี้ได้พิจารณาตามวาระต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ด้านนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้ได้รับมอบจากผู้นำฝ่ายค้านให้เป็นผู้อภิปรายนำแทนผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นครั้งแรกของสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพราะการพิจารณากฎหมายโอนงบประมาณตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีแล้ว 5 ครั้ง โดยเป็นการพิจารณาของสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชน จากการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแล้วขอเรียนตามตรงว่า ไม่สามารถรับหลักการได้ด้วยเหตุผล 2 ประการ 1.หลักการขัดกับหลักประชาธิปไตยและกฎหมายอื่น ซึ่งตามหลักการนำงบประมาณไปใช้ต้องคำนึงถึงหลักความยินยอมของประชาชน เป็นหลักการสำคัญที่สภาต้องตรวจสอบได้ กล่าวคือ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 กำหนดห้ามไม่ให้มีการโอนงบประมาณข้ามหน่วยงานเท่านั้น แม้กฎหมายจะอนุโลมให้โอนงบประมาณ แต่การโอนงบประมาณนั้นต้องเป็นโอนกันระหว่างหน่วยรับงบประมาณด้วยเท่านั้น ซึ่งการโอนงบประมาณเข้างบกลางนั้น จะมีปัญหาเรื่องความชอบด้วยกฎหมายทันที โดยงบกลางไม่ได้มีสถานะเป็นหน่วยรับงบประมาณ แต่เป็นเพียงรายการการใช้เงินเท่านั้น ประกอบกับ งบกลางส่วนนี้ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ คือ นายกฯเท่านั้น
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า 2.รายการของการโอนงบประมาณครั้งนี้ต้องเรียกว่า “จอมโอนแห่งยุค” เพราะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทำการโอนงบประมาณมาแล้ว 4 ครั้งตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ประกอบกับ เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธานกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ออกประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เพื่อกำหนดสัดส่วนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 2% แต่ไม่เกิน7.5% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งเป็นการแก้ไขระเบียบมารองรับเพื่อให้งบกลางอยู่ในอำนาจของนายกฯแต่เพียงผู้เดียวมากขึ้น
“การทำร่างกฎหมายเช่นนี้เหมือนกับการเป็นหมัดมือสภาและตีเช็คเปล่า หากสภาอนุมัติให้ผ่านไป เราจะเป็นสภาจากการเลือกตั้งชุดแรกที่มีรอยด่างว่า ถูกหมัดมือชกและเห็นชอบกฎหมายโอนงบประมาณที่ไม่ควรเห็นชอบ เพราะไม่มีรายละเอียด ดังนั้น เพื่อศักดิ์ศรีของสภาเราโปรดอย่าได้รับหลักการ แต่หากจะรับหลักการก็ต้องรับหลักการแบบมีเงื่อนไข โดยหากการพิจารณาวาระ 2 และ3 ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการใช้งบประมาณอีก ฝ่ายค้านในฐานะเสียงข้างน้อยจะโหวตคว่ำเพื่อบันทึกเอาไว้” น.พ.ชลน่าน กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี