ส.ว.ชง 4 ข้อ พร้อมผนึก 3 องค์กรอิสระ สอบเงินกู้ 1 ล้านล้าน สั่งจับตาจัดซื้อจัดจ้างวิธีเฉพาะเจาะจงเปิดช่องทุจริต ด้าน “ป.ป.ช.-ผู้ตรวจการ-สตง.” ประสานเสียงพร้อมเป็นกลางในการตรวจสอบ
5 มิถุนายน 2563 นายกล้านรงค์ จันทิก สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และประธานคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการได้ร่วมประชุมกับผู้บริหารองค์กรอิสระ ประกอบด้วย สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน , คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อเสนอข้อสังเกตเกี่ยวกับพระราชกำหนด 3 ฉบับ ประกอบด้วย พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 , พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และพระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 โดยการประชุมร่วมกันในครั้งนี้คณะกรรมาธิการไม่มีอำนาจแทรกแซงองค์กรอิสระตามมาตรา 129 วรรค 4
นายกล้านรงค์ กล่าวอีกว่า วุฒิสภาได้มีข้อเสนอ ดังนี้
1.ขอให้นำเงินกู้มาแก้ปัญหาให้ตรงตามวัตถุประสงค์
2.ไม่ให้มีการทุจริต โดยเชื่อว่ารัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหา แต่ต้องยอมรับว่ากลไกของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ในทางปฏิบัติอาจจะมีข้อบกพร่องเกิดการทุจริตได้ จึงเห็นว่ารัฐบาลต้องระวังไม่ให้มีการทุจริต โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างที่อาจเป็นช่องว่างได้
3.การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
4.การประเมินผลสัมฤทธิ์โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย
ขณะที่ ในส่วนของคณะกรรมาธิการฯมีความเป็นห่วงเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างที่ต้องยกเว้นระเบียบต่างๆและการขัดกันแห่งประโยชน์ การยักยอกทรัพย์สิน รวมไปถึงการรับผลประโยชน์ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯได้แจ้งไปยังองค์กรอิสระทุกองค์กร ที่สำคัญต้องมีการจัดทำเว็บไซต์เพื่อเปิดเผยโครงการและกระบวนการร้องเรียนไปยังองค์กรอิสระที่ทำได้รวดเร็ว และประชาชนร่วมกันติดตามตรวจสอบ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งแต่ละองค์กรได้แจ้งต่อคณะกรรมาธิการฯแล้วว่าได้ดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว เช่น การจ่ายเงินเยียวยาและประสิทธิผลในการทำงานของรัฐบาล
“เงินกู้ล้านล้านบาทนั้นองค์กรอิสระได้ดูแลและตรวจสอบให้ประชาชนอุ่นใจว่ารัฐบาลมีความตั้งใจว่าจะใช้เงินแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง และผลประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชนอย่างแท้จริง” นายกล้านรงค์ กล่าว
ด้านนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า เวลาลงไปปฏิบัติจริงอาจมีความเสี่ยงและเกิดการรั่วไหล ซึ่ง ป.ป.ช.มีเครื่องมือในการทำงาน 3 เครื่องมือ ได้แก่
1.การเสนอมาตรการต่อรัฐบาล โดยป.ป.ช.ได้ศึกษาแผนงานและโครงการต่างๆแล้วและเตรียมจะเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี อันจะสอดคล้องกับเรื่องการประเมินความเสี่ยงทางนโยบาย
2.ช่วงการระบาดโควิด19 ป.ป.ช.ได้ปักหมุดพื้นที่เสี่ยงโดยอาศัยกลไกของอาสาสมัครรวบรวมข้อมูลและส่งข้อมูลมาให้ป.ป.ช.ดำเนินการ
3.การใช้อำนาจตามาตรา 48 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่สามารถดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยเร็วเพื่อให้เห็นผลเป็นการเฉพาะ
“ป.ป.ช.ได้รับงบประมาณจากรัฐบาล 10 ล้านเพื่อเป็นกองทุนสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต" นายวรวิทย์ กล่าว
ส่วนนายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า การทำหน้าที่ในการใช้จ่ายตรวจสอบเงิน สตง.จะเข้ามาตรวจสอบเรื่องการใช้เงินให้เกิดความโปร่งใส่ ซึ่งประชาชนอยากเห็นว่าเงินกู้ทุกบาทเกิดความโปร่งใส การใช้จ่ายเงินให้ประโยชน์สูงสุด ตั้งแต่เริ่มมีโควิดนั้นสตง.ได้ส่งเสริมให้แต่ละหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างด้วยความรวดเร็วเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งหลายหน่วยงานมีความกังวลในเรื่องความถูกต้อง แต่สตง.ได้ให้คำปรึกษาให้แก่หน่วยงาน เพื่อให้การดำเนินงานของหน่วยงานทำได้อย่างถูกต้อง
ด้านนายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะการจ่ายเงินเยียวยา เราไม่ได้มุ่งตรวจสอบเพื่อจับผิดเท่านั้นแต่ต้องการแก้ไขปัญหา จึงจะเน้นการหาวิธีที่ทำให้การทำงานของภาครัฐมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม เพื่อเป็นต้นทางของการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ผู้ตรวจการแผ่นดินพร้อมทำงานทั้งเชิงรุกและเชิงรับ
เมื่อถามว่า กองทุนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตได้รับการจัดสรรจากรัฐบาล แต่ป.ป.ช.ต้องเข้าไปตรวจสอบเช่นนี้จะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่ นายวรวิทย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่กำหนดไว้ในกฎหมายฉบับใหม่ เพื่อนำเงินไปสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เข้ามาทำงานกับป.ป.ช.และสนับสนุนมาตรการคุ้มครองพยานต่างๆที่ต้องใช้เงิน และคุ้มครองการปฏิบัติงานของป.ป.ช.และเจ้าหน้าที่ และสนับสนุนการทำงานให้สัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมายที่รัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับงบประมาณแล้ว ยืนยันว่าการทำงานป.ป.ช.จะเป็นไปตามหน้าที่และกฎหมายภายใต้ข้อเท็จจริงและพยานของกฎหมาย
เมื่อถามว่า ข้อห่วงใยจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเกี่ยวกับเรื่องการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนนั้นจะอยู่ในขอบเขตการตรวจสอบองค์กรอิสระหรือไม่ นายประจักษ์ กล่าวว่า พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และ พระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 เป็นเรื่องที่อยู่ในการควบคุมดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งสตง.มีสถานะเป็นผู้สอบบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้นสตง.จะเข้ามาตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วยว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการตรงเป้าหมายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจะมีข้อท้วงติงจากสตง.ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี