คกก.สิทธิมนุษย์-ความเท่าเทียมระหว่างเพศ ปชป.แถลงจุดยืน หนุนรัฐเคลื่อนนโยบายสร้างความเสมอภาค เป็นธรรม เท่าเทียมระหว่างเพศ
13 มิถุนายน 2563 ที่พรรคประชาธิปัตย์ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์นำโดย นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานคณะกรรมการฯ นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ น.ส.ชมพูนุท นาครทรรพ นายกฤษฏิ์ เพียรมุ่งสัมพันธ์ ร่วมกันแถลงจุดยืนสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ เนื่องในเดือน Pride Month ซึ่งตรงกับเดือนมิถุนายน ที่ถือเป็นเดือนแห่งการเรียกร้องสิทธิสำหรับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยพรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ (สทพ.) และ นายจุติ ไกรฤกษ์ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ให้ความสำคัญและผลักดันนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด
นายแทนคุณ กล่าวว่า พรรคมีบทบาทในการส่งเสริมกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ มาอย่างต่อเนื่อง และยืนยันในหลักการของความเท่าเทียม ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศหรือ สทพ.แต่ละครั้ง จะมีการกำหนดนโยบายใหม่ ๆเพื่อช่วยเหลือกลุ่มหลากหลายทางเพศที่ถูกเลือกปฏิบัติ ถูกเหยียด หรือถูกตีตรา และในชั้นการปฏิบัติ โดยพรรคสนับสนุนให้ผู้ที่ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมด้วยเหตุแห่งเพศวิถี ร้องเรียนต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) โดยมีการปรับกระบวนการการรับเรื่องร้องเรียน วินิจฉัย เยียวยาให้เร็วขึ้น ผู้ถูกเลือกปฏิบัติสามารถร้องเรียนที่สายด่วน 1300 หรือกรมกิจการสตรีและครอบครัว ซึ่งมีการเยียวยาในเพดานเงินสูงสุดที่ 30,000 บาท และในปี พ.ศ.2564 จะมีการปรับปรุง พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 ให้ทันสมัยมากขึ้น อาทิ การสร้างศูนย์ประสานงานด้านความเสมอภาคหญิงชาย (Gender focal point) เพื่อรับเรื่องร้องเรียนความไม่เท่าเทียม การรวบรวมระเบียบที่ไม่เป็นธรรมระหว่างเพศเพื่อทำการแก้ไข
ด้าน นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค ปชป.ได้กล่าวว่าพรรคได้มีการผลักดันอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกของคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ที่มีนายจุรินทร์ เป็นประธานจนเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการประชุม กยส.และมีมติสำคัญใน 3 เรื่องคือ 1) ต่อความห่วงใยสถานการณ์ความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก-การคุกคามทางเพศ ให้กรมกิจการสตรีและครอบครัวตั้งคณะทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายศึกษาแก้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ขยายเวลาการแจ้งความดำเนินคดีความผิดทางเพศทีกำหนดไว้ 3 เดือน เพิ่มเป็น 6 เดือน เพื่อให้ผู้เสียหายมีเวลามากพอที่จะใช้ในการตัดสินใจนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สอดคล้องกับที่เครือข่ายสตรีได้เรียกร้องมานาน 2)มอบกรมกิจการสตรีขับเคลื่อนเรื่องการส่งเสริมให้สามีช่วยเหลือภรรยาเลี้ยงดูบุตร โดยดำเนินการทำโครงการนำร่อง ความร่วมมือองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน อนุญาตให้บุคลากรชายสามารถลาไปช่วยเหลือภรรยาที่คลอดบุตรได้ เป็นเวลา 15 วันทำการ เป็นช่วงๆไม่ติดต่อกันจนครบวันลา และ 3) ที่ประชุมเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาสตรี ระยะที่1 (พ.ศ.2563-2565) ทั้งนี้ แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาสตรี ประกอบด้วย 5 มาตรการ คือ 1) ปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคมในเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมระหว่างหญิงชาย 2) เพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสตรี 3) ส่งเสริมปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาสตรีสู่ความเสมอภาค 4) กำหนดมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันคุ้มครองและช่วยเหลือสตรี 5) สร้างความเข้มแข็งของกลไกและกระบวนการพัฒนาสตรี
ในขณะที่ น.ส.ชมพูนุท นาครทรรพ เปิดเผยถึงความคืบหน้าเรื่องการประชุม สทพ.ที่นายจุรินทร์ ได้มีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องของการสร้าง CGEO หรือ Chief Gender Equality Officer หรือ "ผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับความเสมอภาคทางเพศ" โดยการออกข้อตกลง (MOU) ที่ร่วมเซ็นกับภาครัฐและเอกชนเพื่อป้องกันการกีดกันการเลือกปฏิบัติ ซึ่ง MOU กำหนดให้บริษัท สถาบันการศึกษา หรือหน่วยราชการมีภารกิจในการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ คือการสร้างพื้นที่การทำงานที่เอื้อกับทุกเพศ โดยใน MOU ประกอบด้วย 2 ประเด็นแรกคือ 1.การอนุญาตให้บุคลากร นักศึกษา สามารถแต่งกายตามเพศวิถีได้ ซึ่งได้มีมหาวิทยาลัยบางแห่งเช่นธรรมศาสตร์ นำร่องไปแล้ว 2.การจัดพื้นที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มหลากหลายทางเพศ เช่น องค์กรมีห้องน้ำที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มหลากหลายทางเพศ และการที่หน่วยงานรัฐมีพื้นที่สำหรับดูแลกลุ่มหลากหลายทางเพศ และอีกพื้นที่หนึ่งที่ทางคณะกรรมการฯ ต้องการผลักดันคือพื้นที่การตรวจเลือกทหาร ที่ไม่นำกลุ่มข้ามเพศมาสร้างความอับอายในการตรวจเลือกทหาร
ด้าน นายกฤษฏิ์ เพียรมุ่งสัมพันธ์ ได้กล่าวเสริมว่า ภายใต้ MOU นี้ ยังมีอีก 4 ประเด็น คือ 3.การสมัครงานและกำหนดคุณสมบัติผู้สมัคร ควรกำหนดเรื่องความสามารถและคุณสมบัติมากกว่าการใช้กรอบเพศมาตัดสิน 4.การใช้ถ้อยคำ กิริยาท่าทาง เอกสารต่างๆ ที่ต้องให้เหมาะสมต่อแต่ละอัตลักษณ์ทางเพศ ไม่ให้เกิดการตีตรา การกลั่นแกล้ง หรือลดทอนคุณค่าของเพศใด 5.การสรรหากรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ในหน่วยงาน ให้พิจารณาถึงความสามารถมากกว่าการใช้กรอบเพศตัดสิน และ 6.สนับสนุนการป้องกันแก้ปัญหาหรือการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในที่ทำงาน สำหรับการทำ MOU เรื่องการป้องกันการเลือกปฏิบัติ มีจังหวัดนำร่องที่ทำไปแล้วคือจันทบุรี และตามมาด้วยจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเพิ่งรับรองไปเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา และจะผลักดันให้มีการเซ็น MOU ให้ครบทุกจังหวัด
โดย นายแทนคุณ ได้กล่าวเพิ่มเติมในตอนท้ายว่า พรรคยังมีโครงการจะสร้างนักสิทธิอาสา LGBT ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มหลากหลายทางเพศ แต่เป็นคนที่สนใจ ตระหนักถึงความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชน เพื่อแจ้งข่าวต่อพรรคว่ามีปัญหาการละเมิดสิทธิด้วยเหตุแห่งอัตลักษณ์ทางเพศในที่ใดที่หนึ่ง ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ (BlueHouse) แล้วพรรคร่วมกับกระทรวง พม.จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาในการกำหนดนโยบายของ สทพ.และคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ต่อไป
"ในเดือน Pride ถือเป็นเดือนที่เราได้กลับมาตระหนักถึงสิทธิของกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ พรรคยืนยันที่จะเคารพสิทธิมนุษยชนไม่ว่าจะเป็นอัตลักษณ์ใดก็ตาม และสนับสนุนการส่งเสริมศักยภาพ บาบาทของกลุ่มหลากหลายทางเพศให้มีพื้นที่แสดงออกถึงความสามารถที่พวกเขามีมากกว่าที่หลายๆ คนตีกรอบ และจะขับเคลื่อนให้เห็นเป็นรูปธรรม จับต้องได้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างแท้เจริง" นายแทนคุณ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี