"สุพจน์ ทรัพย์ล้อม-ชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์"ร่อนนจม.ลาออกแล้ว แจ้งกลางเวทีถกผลกระทบจากการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อศึกษาแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์การคืนบุคคลให้เป็นคนดีสู่สังคม
วันที่ 25 มิ.ย.63 ที่ห้องรับรองกระทรวง ยุติธรรม ชั้น 2 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จัดเวทีเสวนาเปิดรับฟังความคิดเห็นการสร้างนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ โดยได้ส่งหนังสือเชิญนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานมูลนิธิองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น นายวินรวีร์ ใหญ่เสมอ หรือต๊ะ บอยสเก๊าท์ นายนัทธี จิตสว่าง ที่ปรึกษาพิเศษสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อมาให้คำแนะนำว่าควรจะดำเนินการอย่างไร พร้อมทั้งจะชี้แจงข้อสงสัยในการแต่งตั้งนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งเคยต้องโทษในคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน มาเป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษารูปแบบและแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยนายสมศักดิ์ ได้แจ้งให้ทราบกลางเวทีว่า นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ได้เขียนด้วยลายมือถึงเหตุผลการลา โดยระบุตอนหนึ่งว่า "เมื่อได้รับการทาบทามจากกระทรวงยุติธรรม ผมเห็นว่าจะสามารถใช้ความรู้ ประการณ์ และความเข้าใจที่มีต่อผู้ต้องขังในเรือนจำ มาถ่ายทอดให้โครงการนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและประเทศชาติ ผมจึงได้ตอบรับที่จะเข้าร่วมแต่ต่อมาผมได้รับทราบจากทางสื่อต่างๆ ว่ามีกระอสความไม่เห้นด้วย และเห็นว่าการที่ผมรับหน้าที่เป้นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการชุดนี้มีความไม่เหมาะสม ผมได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเพื่อเป็นการยุติดความขัดแย้งในสังคม และให้อนุกรรมการฯ สามารถเริ่มปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของประเทศได้ทันที ผมจึงขอลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาอนุกรรมการฯ โดยมีผลทันทีนับจากวันที่ 22 มิถุนายน 2563"
ขณะที่นางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ ได้ยื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทินรมว. ยุติธรรม แจ้งว่า ขอลาออกจากการเป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการ ฯ โดยอ้างถึงคำสั่งของคณะกรรมการราชทัณฑ์ที่ 1/2563 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ว่าตามที่นะได้มีการแต่งตั้งตนเองนางชวนพิศฉายเหมือนวงศ์เป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการเพื่อดังกล่าวนั้นข้าพเจ้า ขอกลับขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากข้าพเจ้ามีภารกิจบางประการที่รับผิดชอบและจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นประจำทุกเดือนอาจจะมีผลกระทบทำให้การทุ่มเทเวลาเพื่อที่จะช่วยงานไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามเจตนารมณ์ของท่าน
ขณะที่ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นประเทศไทย (ACT) กล่าวว่า คดีทุจริตบางคดีใช้เวลานาน 10 กว่าปีกว่าที่ศาลจะมีคำตัดสินเป็นที่สิ้นสุด ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าไม่ต้องถูกโดนลงโทษ ยังสามารถเดินเชิดหน้าชูตาในสังคมได้ ในขณะรายที่โดนลงโทษทางกฎหมายแต่ก็สามารถกลับมามีบทบาทในวงการเมืองและราชการได้ ซึ่งจะเป็นการตอกย้ำความรู้สึกของ ประชาชนว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวเมื่อพบเห็นการกระทำที่ไม่ถูกกฎหมาย แม้ว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับ ปัจจุบันที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ที่เพิ่มการรับรู้ของคนทั่วไปว่า คนที่ทุจริตจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
ทั้งนี้ ยืนยันว่า ตนเห็นด้วยที่ต้องการให้ผู้ต้องขังได้กลับคืนสู่สังคมตามแนวทางที่กระทรวงยุติธรรมมีนโยบายแต่การที่จะกลับเข้ามาสู่ระบบราชการการเมืองในขณะที่ มีความผิดคดีคอร์รัปชั่น ซึ่งไม่ใช่คดี ฉกชิงวิ่งราว หรือคดีทั่วๆไปซึ่งคดีคอรัปชั่นถือเป็นคดีที่ทำลายชาติเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งการที่นายสุพจน์ได้เข้ามาสู่ในตำแหน่งคณะอนุกรรมการ ที่อยู่ในระบบการเมืองและราชการ ทำให้ คนทั่วไปรู้สึกว่าคนนี้มีอำนาจ วาสนา บารมีซึ่งจะเป็นช่องว่างหากพูดหรือแสดงอิทธิฤทธิ์อะไร เราก็ต้องระวังตัวซึ่งสิ่งเหล่านี้หน่วยราชการต้องตระหนัก
" คนที่พ้นโทษแล้วจะไปเที่ยววัดหรือทำมาค้าขายกับหน่วยงานราชการสามารถทำได้แต่การเข้ามามีบทบาทในวงการเมืองหรือราชการต้องควรจะระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นจะทำให้ ไม่เป็นต้นแบบของสังคมในการประพฤติปฏิบัติ ในทางที่ถูกต้องและข้าราชการชั้นผู้น้อยจะเกิดความเข้าใจผิด ต่อบรรทัดฐานการประพฤติปฏิบัติทั้งที ทั้งที่ มีเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงเขียนว่าอย่างชัดเจน ป้องกันเรื่องการคอรัปชั่นของข้าราชการและนักการเมือง"ดร.มานะ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี