เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวภายหลังให้กำลังใจ 5 แกนนำ นปช.หลังศาลฏีกาพิพากษายืนจำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน คดีบุกบ้านสี่เสาฯว่า ตนและคณะได้พูดเป็นสัจธรรมมาตั้งแต่ต้น ว่าบนหนทางการต่อสู้ของพวกเรานั้นไม่ตายก็ติดคุก วันนี้พี่น้องเราทุกคนที่ศาลได้อ่านคำพิพากษาจำคุก ซึ่งทุกคนก็น้อมรับคำตัดสิน ตนและที่เหลืออยู่ในสำนวนคดีที่สอง(คดีบุกบ้านสี่เสาฯ เช่นเดียวกัน ซึ่งนายจตุพรถูกฟ้องทีหลัง) ก็รอคำพิพากษาเช่นกัน
"ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กลุ่มคนที่ผ่านเรื่องราวกันมาต่างเหลือพื้นที่กันน้อยมาก อยากบอกว่าทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อเหลือง เสื้อแดง กลุ่มพันธมิตรฯ หรือ กปปส. ก็ต่างอยู่บนวิถีทางที่ไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ว่าพวกผมจะติดคุกกันมากขึ้น และสังขารของผู้อาวุโสของแต่ละฝ่ายก็อยู่ในช่วงยากลำบากทั้งสองฝ่าย ที่เหลือก็ทยอยกันขึ้นศาล"นายจตุพรกล่าว
นายจตุพร กล่าวต่อไปว่า จากที่ได้เข้าฟังคำพิพากษานั้น ตนเห็นว่าที่แตกต่างกันคือ ตนยังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง ก็ต้องไปจัดการชีวิตทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวม เรื่องสุขภาพ เพราะต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง พวกตนน้อมรับคำตัดสินของศาลอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ได้พูดคุยกับทั้ง 5 คนในคดีนี้อยู่บ้าง เพราะกว่า 10 ปีนี้ มันมีเรื่องราวกันมากเหลือเกิน แม้กระทั่งคนที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามมาอยู่ฝ่ายเดียวกันก็มี เช่น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ส่วนนายชัยเกษม นิติศิริ อดีตอัยการสูงสุด ก็เป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย
"เพราะฉะนั้นความลำบากของชีวิตไม่ใช่เฉพาะคนเสื้อแดง คนเสื้อเหลืองก็ลำบาก ทุกฝ่ายที่ต่อสู้กันมาช่วง 10 ปีนี้ ที่ไม่ติดคุกก็ต้องมาขึ้นศาลทุกสัปดาห์ พวกเราต่างรู้จักกันมาตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาฯ 2535 ทั้งสิ้น"นายจตุพร กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาล จุดยืนของ นปช. อยู่ตรงไหน นายจตุพร กล่าวว่า ตนเองเห็นว่าสถานการณ์ของประเทศไทยวันนี้ อยู่ในสถานะที่ยากลำบาก ตนได้รู้จักและมีโอกาสแลกเปลี่ยนกับนักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านการคลังหลายคน ต่างเห็นว่าภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศจะหนักขึ้น ตั้งแต่เดือนหน้าและเดือน ส.ค. จึงอยู่ในช่วงที่ควรจะเอาชาติบ้านเมืองและประชาชนไว้ก่อน มากกว่าที่ใครจะมาเป็นนายกฯ หรือใครจะมาบริหาร เป็นรัฐมนตรี
"ผมเลยจุดที่มองว่าจะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือยกเลิกประกาศใช้ เพราะความทุกข์ของประเทศที่รออยู่ข้างหน้าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เราเดินมาถึงจุดปลายของชีวิต เราย่อมจะมองเห็นว่าจะเอาประเทศและประชาชนรอดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้สนใจว่าใครเป็นรัฐบาล ใครเป็นรัฐมนตรี"นายจตุพร กล่าว
เมื่อถามว่า แกนนำสองฝ่ายต่างมีประสบการณ์แตกต่างกัน มีความขัดแย้งในเรื่องส่วนตัวบ้างหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็น กปปส. หรือพันธมิตรฯ เราไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวกัน และหลายคนต่างก็เคยร่วมชุมนุมเวทีเดียวกัน คือเหตุการณ์พฤษภาฯ 2535 เจอกันก็มีโอกาสพูดคุยและทักทายเป็นเรื่องปกติ เพราะการต่อสู้ทั้งหมดกว่า 10 ปีนี้ ไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวใดๆ ตนจึงเข้าใจสัจธรรมชีวิต แต่ยังเชื่อว่าในช่วงชะตากรรมแบบนี้ และช่วงวิกฤตของบ้านเมือง ทุกฝ่ายกำลังจะร่วมกันช่วยแก้ปัญหาวิกฤต แต่ยังเชื่อว่าบ้านเมืองต่อไปนี้ ถึงยุคที่ประเทศไทยต้องพึ่งพาช่วยเหลือตัวเอง
ขณะนี้อย่าหวังรายได้จากการท่องเที่ยว เครื่องบินที่จอดทิ้ง 3 -4 เดือนนี้ก็มีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก เพราะการท่องเที่ยวแต่ละแห่งย่อยยับแล้ว จึงไปไกลกว่าเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองแล้ว ช่วงที่ตนยังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง ก็อยากร่วมกับทุกฝ่ายฝ่าฟันวิกฤตของชาติให้ผ่านพ้นไปให้ได้ คือหลักการประชาธิปไตยไม่เป็นอย่างอื่น แต่เมื่อบ้านเมืองของเราอยู่ในสภาพที่เงินเยียวยาเดือนสุดท้าย เดือนหน้าก็ไม่มีเงินแล้ว แล้วประชาชนก็ประสบความยากลำบาก เพราะฉะนั้นในวันนี้ถ้าเราคิดแต่ในมิติทางการเมืองเพียงอย่างเดียว ผทเชื่อว่าเรายังไม่ตกผลึกในช่วง 10 ปีนี้ ผมไม่มีสิทธิ หรือผลประโยชน์ทางการเมืองว่าต่อสู้เพื่อจะเป็นตำแหน่งอะไร
“ถ้าใครฟังคำพิพากษาก็รู้ว่าอย่างไรผมก็ไม่รอด 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมก็ยอมรับความเป็นจริง เวลาที่เหลืออยู่ถ้าผมทำอะไรได้ให้กับประเทศชาติบ้านเมืองในท่ามกลางวิกฤตนี้ที่กำลังจะเกิด ผมก็จะทำ ผมไม่ได้สนใจว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล หรือใครจะมาเป็นตำแหน่งใด ผมเลยมันมาแล้ว” นายจตุพร กล่าว
ด้านนางธิดา ที่ปรึกษา นปช. และภรรยา นพ.เหวง กล่าวว่า สิ่งที่ต้องเตรียมตัวคือ ทำอย่างไรให้สามารถเยี่ยมได้บ่อยมากขึ้น แล้วเข้าใจว่าขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยน แม้ว่าจะถูกจำกัดอิสรภาพ แต่ว่าเมื่อไปอยู่ในเรือนจำ เราเข้าใจว่าสถานการณ์เรือนจำเปลี่ยนไป โดยทำให้คนที่อยู่ในคุกได้ใช้ชีวิตอย่างมีประโยชน์ให้มากที่สุด และจำเลยที่เข้าคุกวันนี้เป็นบุคคลที่มีประโยชน์ มีทัศนคติในทางที่ดี น่าจะมีโอกาสได้ทำงานต่อสังคมได้ แม้จะถูกคุมขังอยู่ในคุก หวังว่าจะได้รับการปฏิบัติที่ดีพอสมควร แม้จะมีความคิดเห็นต่างทางการเมือง และไม่ใช่อาชญากร หวังว่าสื่อจะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวในเรือนจำได้
ขณะที่ นางสิริสกุล ใสยเกื้อ ภรรยาของนายณัฐวุฒิ เปิดเผยหลังศาลมีคำพิพากษาว่า จะเดินทางไปเยี่ยมนายณัฐวุฒิที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อ เนื่องจากยังไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามา ก่อนหน้านี้ก็มีการเตรียมใจกันมา ส่วนจะมีการดำเนินการใดๆ ทางคดีต่อหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับนายณัฐวุฒิตัดสินใจ ตนต้องปรึกษาก่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี