วันอาทิตย์ ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / การเมือง
'กลุ่มแคร์'เตือนรัฐ! ตุลาฯมหาวิกฤตเศรษฐกิจปรากฏชัด ปชช.-ธุรกิจเดือดร้อน

'กลุ่มแคร์'เตือนรัฐ! ตุลาฯมหาวิกฤตเศรษฐกิจปรากฏชัด ปชช.-ธุรกิจเดือดร้อน

วันอาทิตย์ ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2563, 19.31 น.
Tag : กลุ่มแคร์ การเมือง รัฐบาล เศรษฐกิจ อดีตขุนพล
  •  

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2563 เพจเฟซบุ๊ก "CARE คิด เคลื่อน ไทย" ได้โพสต์ข้อความระบุว่า - แถลงการณ์แคร์ -​ ชุบชีวิตเศรษฐกิจไทย: อัดฉีด SME 2 ล้านล้าน ลดดอกปลอดต้น 4 ปี

รับชมคลิปเต็ม : https://www.facebook.com/careorth/videos/264680414804702/?vh=e&d=n


- ตุลา "มหาวิกฤตเศรษฐกิจ" -​

ประเทศไทยปราศจากผู้ติดเชื้อโรค COVID-19 ในประเทศมา 34 วันแล้ว แต่ความเสียหายทางเศรษฐกิจยังคงเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน เพราะธุรกิจต่างๆ ยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้ปกติเหมือนเดิม ต้องเผชิญกับภาวะที่ยอดขายลดลงอย่างมาก หรือยังไม่มีรายได้เลย ในขณะที่ต้นทุนการดำเนินกิจการเพิ่มขึ้นตามเงื่อนไขระยะห่างทางสังคม (Social distancing) และมาตรการป้องกันอื่นๆ ที่ได้ถูกกำหนดขึ้นมาใหม่

มาตรการเยียวยาของภาครัฐมีข้อจำกัดทั้งในเชิงของความทั่วถึง และระยะเวลาที่สั้นอย่างมาก เช่น การเยียวยาผู้ว่างงาน 15 ล้านคน และเกษตรกร 10 ล้านคน ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาทต่อเดือนเพียง 3 เดือน ในขณะที่ประเมินกันว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกให้กลับมาสู่สภาวะปกตินั้นต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3 ปี

และที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ ผู้ได้รับผลกระทบมีจำนวนมาก เห็นได้จากลูกหนี้สถาบันการเงินที่ขอความช่วยเหลือจากมาตรการผ่อนปรนการจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นซึ่งมีมากถึง 16.3 ล้านรายโดยมีมูลหนี้สูงถึง 6.84 ล้านล้านบาท หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของสินเชื่อทั้งหมดในระบบ ในส่วนนี้มีธุรกิจที่ขอผ่อนปรนหนี้มากถึง 1.148 ล้านรายโดยมีมูลหนี้ทั้งสิ้นประมาณ 2.98 ล้านล้านบาทและมีหนี้บุคคลอีก 15.22 ล้านคน มูลหนี้ 3.87 ล้านล้านบาท

หนี้ 6.84 ล้านล้านบาทดังกล่าว ได้รับการผ่อนปรนเป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน เริ่มต้นจากเดือนเมษายน 2563 และแม้ว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 2 (ประมาณ 15.2 ล้านคน) โดยให้สถาบันการเงินมีมาตรการผ่อนปรนต่อไปถึง 31 ธันวาคม 2563 แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเพราะ SME กว่า 1 ล้านรายที่เป็นผู้จ้างงานและผลิตสินค้าและบริการก็ยังอยู่ในภาวะที่คับขันมากขึ้นทุกวัน

แคร์เห็นว่า ประชาชนกว่าสิบล้านคนและธุรกิจกว่าล้านรายคาดหวังว่า เขาจะสามารถกลับมาทำงานได้เหมือนเดิมภายในเร็ววัน และธุรกิจนับล้านรายเหล่านั้นหวังว่า จะสามารถสร้างยอดขายได้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนการระบาดของโรค COVID-19 โดยเร็วเพราะ “สายป่าน” ที่สะสมเอาไว้ได้ใช้ไปจนหมดแล้ว แต่อนาคตกลับยังดูมืดมนอย่างยิ่งเพราะการเปิดเศรษฐกิจกระทำอย่างกระท่อนกระแท่น ประชาชนไม่มั่นใจในการใช้ชีวิตตามปกติ แม้แต่การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน (ซึ่งหมายถึงประเทศตกอยู่ในภาวะคับขัน การรบหรือการสงคราม) ก็ยังคงอยู่

และที่สำคัญคือการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ก็ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะเริ่มต้นเมื่อใด หากมองในทิศทางบวกมากที่สุดตามที่รัฐบาลเคยแถลงไว้ว่า รัฐบาลจะอนุญาตให้นักธุรกิจจากต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 1,000 คนต่อวัน ซึ่งหากเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป ก็หมายความว่าในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยไม่ถึง 100,000 คน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับภาวะปกติที่ชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยถึง 10 ล้านคน เราจะสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 170,000 ล้านบาทต่อเดือน

ภายใต้สภาวการณ์ดังกล่าว จึงมีการคาดการณ์โดยภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องว่า คนไทยอาจตกงานได้มากถึง 5 ถึง 7 ล้านคน นอกจากนั้นนักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาจะว่างงานอีก 400,000 คน มีข่าวต่อเนื่องว่า บางธุรกิจปิดโรงงานและย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย และบางธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์จะปลดคนงานเพราะยอดขายรถยนต์ตกต่ำ อีกทั้งต้องปรับตัวกับแนวโน้มใหม่ของอุตสาหกรรมที่หันมาผลิตรถไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้เร่งทดแทนแรงงานคนโดยการใช้หุ่นยนต์ ซึ่งทำให้พนักงานโดยเฉพาะวัยกลางคนเสี่ยงตกงานอีกนับหมื่นคน

ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 นั้นมีคนไทยตกงานประมาณ 1.4 ล้านคน ดังนั้นมหาวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้จึงมีแนวโน้มรุนแรงมากกว่า 4 เท่าตัว ในปี 2540 เราเห็นการล่มสลายของสถาบันการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ความรุนแรงอยู่ในวงจำกัดและกระทบคนรวยเป็นส่วนสำคัญ จึงมีวลี “ไม่มีไม่หนีไม่จ่าย”แต่ครั้งนี้ชนชั้นกลางและคนยากจนหลายสิบล้านคนตลอดจนธุรกิจ SME เป็นล้านรายมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องล้มละลายเพราะจ่ายหนี้สินคืนธนาคารไม่ได้

ความเดือดร้อนของประชาชนและธุรกิจจะปรากฏให้เห็นอย่างกว้างขวางตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้

มาตรการของรัฐไม่เพียงพอและขาดเอกภาพ

1. มาตรการเยียวยาประชาชน 25 ล้านคนโดยจ่ายเงินชดเชยเดือนละ 5,000 บาทใกล้สิ้นสุดลงแล้ว โดยคนไทยกลุ่มนี้ยังไม่สามารถบอกตัวเองได้ว่าอนาคตของตนจะเป็นอย่างไร

2. มาตรการสินเชื่อผ่อนปรนช่วยเหลือ SME ที่เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงิน วงเงิน 500,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีผู้ผ่านการกู้เพียง 82,701 ล้านบาทหรือเพียง 16.5 เปอร์เซ็นต์ของวงเงิน โดยมี SME ที่ได้รับการช่วยเหลือเพียง 51,991 รายจากจำนวน SME ซึ่งเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่มีปัญหากว่า 1.1 ล้านราย นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจ หรือ SME ซึ่งไม่ได้เป็นลูกค้าของสถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบแต่ไม่สามารถขอรับความช่วยเหลืออีกจำนวนมาก

3. โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาทของรัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติ โดยมีการเสนอโครงการมากถึง 46,411 โครงการมูลค่า 1.448 ล้านล้านบาท แต่โครงการที่เสนอเข้ามานั้นไม่มีความชัดเจนว่า จะสามารถนำพาประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศไปในทิศทางที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีและเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืนในระยะยาว เพราะเป็นโครงการที่ไม่มียุทธศาสตร์และขาดเอกภาพทางความคิด เนื่องจากเป็นการนำเสนอโครงการจากหน่วยงานต่างๆ ของรัฐด้วยความเร่งรีบ ดังนั้นจึงกล่าวกันว่า จะเป็นมาตรการที่ไร้พลัง ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน และเป็นการ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ”

รัฐมีหน้าที่ช่วยให้ประชาชนและธุรกิจก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจหลัง COVID-19

แคร์ยืนยันแน่วแน่ว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องช่วยให้ประชาชนและธุรกิจสามารถก้าวข้ามวิกฤตเศรษฐกิจหลัง COVID-19 ไปให้ได้โดยไม่ทอดทิ้งใคร เปรียบเสมือนกับการสร้างสะพานเพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถก้าวข้ามทั้งเหวสุขภาพที่เพิ่งผ่านพ้นมา และเหวเศรษฐกิจที่อันตรายกว่ามาก

แนวทางหลักคือ การสนับสนุนจากภาครัฐที่ต้องให้เวลาอย่างเพียงพอกับประชาชนและธุรกิจประมาณ 4 ปี เพื่อฟื้นฟูและปรับตัวเพื่อเข้าสู่ภาวะ New Normal หลังจากวิกฤต COVID-19 ผ่านพ้นไปแล้ว และพลิกสถานการณ์จากปัจจุบันที่ประชาชนกำลังไร้ความหวังและเศรษฐกิจไทยกำลังรอวันตาย

ข้อเสนอของแคร์

แคร์ ขอเสนอให้รัฐบาลสนับสนุน “สินเชื่อผ่อนปรนวงเงิน 2 ล้านล้านบาท คิดดอกเบี้ย 2 % ต่อปี ปลอดการชำระเงินต้นเป็นเวลา 4 ปี” (โดยธนาคารแห่งประเทศไทยปล่อยกู้ผ่านธนาคารพาณิชย์ที่ดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี) และรัฐบาลรับความเสี่ยงของความเสียหายจากการปล่อยกู้ดังกล่าวเกือบทั้งหมด (ซึ่งแตกต่างจากสินเชื่อ 500,000 ล้านบาทในปัจจุบันที่เมื่อประเมินในรายละเอียดแล้ว รัฐบาลจะรับใช้ความเสียหายให้เพียงประมาณ 30%) โดยขยายขอบเขตให้ SME ที่ไม่ใช่ลูกหนี้สถาบันการเงินได้รับการสนับสนุนสินเชื่อดังกล่าวด้วย

หากมีความเสียหายจากการปล่อยกู้ รัฐบาลสามารถออกเป็นพันธบัตรให้ธนาคารแห่งประเทศไทยซื้อที่ดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี ระยะเวลาใช้คืน 100 ปี เพื่อชดใช้ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากหนี้เสียให้กับสถาบันการเงินในอนาคต

มาตรการ “อัดฉีด SME 2 ล้านล้าน ลดดอกปลอดต้น 4 ปี” จะช่วยให้ SME นับล้านรายสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจและยังจ้างพนักงานกว่า 10 ล้านคนต่อไปได้ ช่วยให้ประชาชนกว่า 10 ล้านคนไม่ต้องพักชำระหนี้ และเปิดโอกาสให้ SME มีเวลาเพียงพอที่จะวางแผนปรับตัว ปรับต้นทุน เพิ่มการลงทุน หรือแม้กระทั่งปรับเปลี่ยนธุรกิจไปทำธุรกิจประเภทอื่นๆ ก็ได้

วิกฤตสุขภาพและวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้เป็นวิกฤตทั่วโลก ทำให้กำลังซื้อทั้งในประเทศและจากต่างประเทศถดถอยลงอย่างมาก (ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้าและบริการมากถึง 68% ของ จีดีพี) ดังนั้น เมื่อเทียบกับภาวะปกติที่มี NPL ประมาณ 3-4% จึงมีความเป็นไปได้ว่า NPL จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว แต่การให้เวลาที่เพียงพอกับธุรกิจในการปรับตัวและหลีกเลี่ยงการปลดพนักงาน และการรอให้สถานการณ์ทั่วโลกคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี เช่น การค้นพบวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ย่อมจะช่วยลดความเสียหายดังกล่าว ต่างจากการดำเนินนโยบายแบบ “ค่อยเป็นค่อยไป” ในปัจจุบัน ซึ่งจะไม่สามารถยับยั้งความเสียหายทางเศรษฐกิจที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันได้เลย

แคร์ คิดเคลื่อนไทย
28 มิถุนายน 2563

#อัดฉีดSME2ล้านล้าน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • กัญชาเอฟเฟกต์! \'พท.\'ซัดกลับ‘ศุภชัย’ รีบเป็นฝ่ายค้านจนลืมอดีต กัญชาเอฟเฟกต์! 'พท.'ซัดกลับ‘ศุภชัย’ รีบเป็นฝ่ายค้านจนลืมอดีต
  • \'ชาดา\'เดือดแต่เช้า! ฟาดรัฐบาลอาฆาตแค้น อย่าไปบอกให้ข้าราชการใส่เสื้อสีแดง มันไม่ถูกต้อง 'ชาดา'เดือดแต่เช้า! ฟาดรัฐบาลอาฆาตแค้น อย่าไปบอกให้ข้าราชการใส่เสื้อสีแดง มันไม่ถูกต้อง
  • ฝ่ายค้านจวกรบ. ไม่มีเสถียรภาพ เหตุทำสภาล่ม เชื่อคุมเสียงยาก ฝ่ายค้านจวกรบ. ไม่มีเสถียรภาพ เหตุทำสภาล่ม เชื่อคุมเสียงยาก
  • ทุบเปรี้ยง! แฉ 3 ข้อ‘ปชน.-พท.’ประสานเสียง‘วาระซ่อนเร้น’ ชนวนปชช.ฮือไล่‘ฝ่ายค้าน-รัฐบาล’ล่ม ทุบเปรี้ยง! แฉ 3 ข้อ‘ปชน.-พท.’ประสานเสียง‘วาระซ่อนเร้น’ ชนวนปชช.ฮือไล่‘ฝ่ายค้าน-รัฐบาล’ล่ม
  • ‘หมอวี’แนะรัฐบาลถอนร่าง‘เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ’ ชี้ประเทศมีปัญหาที่ต้องรีบทำอีกเยอะ ‘หมอวี’แนะรัฐบาลถอนร่าง‘เอ็นเตอร์เทนเมนต์ฯ’ ชี้ประเทศมีปัญหาที่ต้องรีบทำอีกเยอะ
  • หมดศรัทธารัฐบาล!‘IFDโพล’เปิดผลสำรวจปชช.หนุน‘ยุบสภา’ ตั้ง‘รัฐบาลแห่งชาติ’ หมดศรัทธารัฐบาล!‘IFDโพล’เปิดผลสำรวจปชช.หนุน‘ยุบสภา’ ตั้ง‘รัฐบาลแห่งชาติ’
  •  

Breaking News

'อดีต ส.ว.สมชาย'สรุปฟังไต่สวนพยานคดีชั้น 14 บอกพยานเท็จอาการหนักมาก!!!

น้ำใจทหารไทย! เปิดด่านฉุกเฉินส่ง'อดีตรองเสธ.กัมพูชา' ป่วยมะเร็ง กลับบ้านอย่างอบอุ่น

ครั้งแรกในรอบ102ปี! 'ฝรั่งเศส'เปิดให้พลเมืองเล่นน้ำในแม่น้ำแซน การันตีคุณภาพน้ำดีเยี่ยม

ไม่ใช่มีแค่ถนนพระราม 2 สะพานพระราม 4 เกิดเหตุป้ายเหล็กขนาดใหญ่ตกใส่รถพังเสียหาย

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved