29 มิ.ย. 2563 เว็บไซต์ นสพ.Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น เสนอข่าว “Thailand seeks to extend COVID emergency despite no new cases” ระบุว่า รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (Prayuth Chan-ocha) กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเรื่อยๆ จากการขยายเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปทั้งที่เป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้วที่ไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่แบบระบาดในประเทศ
ประเทศไทยนั้นได้รับการยกย่องว่าสามารถควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อมั่นในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2563 กฎหมายที่ให้อำนาจจำกัดการชุมนุมต่างๆ อีกทั้งยังสามารถรวบอำนาจบริหารไว้ที่ตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาคณะรัฐมนตรี แต่ใช้ข้าราชการประจำกระทรวงสาธารณสุขและทหารเป็นกำลังหลักในการทำงาน
องค์กรที่เรียกว่า ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) มีสถานะประหนึ่งเป็นรัฐบาลตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีความคล้ายกับกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำรัฐประหารเมื่อปี 2557 แล้วมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวของ Nikkei Asian Review ว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใช้ได้ผลดีในการควบคุมความขัดแย้งทางการเมืองและรวมศูนย์การตอบสนองของรัฐบาล อันเป็นหัวใจสำคัญในการรับมือโรคระบาด
แหล่งข่าวคนเดิมยังกล่าวอีกว่า ข้อมูลที่ตนได้รับจากกองทัพและหน่วยข่าวกรอง สะท้อนความหวาดกลัวของคนไทยโดยเฉพาะเมื่อเห็นภาพการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีผู้ติดเชื้อสะสมรวม 3,158 คน เสียชีวิตรวม 58 ราย ล่าสุดในวันที่ 1 ก.ค. 2563 จะมีการให้กิจการส่วนที่ยังถูกสั่งปิดอยู่กลับมาเปิดใหม่ เช่น สถานบันเทิงยามราตรีและอาบอบนวด แต่ตัวเลขนี้ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์กันไว้ ในเดือน มี.ค. 2563 อัตราการติดเชื้อในไทยอยู่ที่ร้อยละ 33 และผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงกับบอกว่า กลางเดือน เม.ย. 2563 จะมีผู้ติดเชื้อถึง 3.5 แสนคน
รายงานข่าวกล่าวต่อไปโดยอ้างข้อมูลจากสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ระบุว่า ในเดือน เม.ย. 2563 มีผู้ถูกดำเนินคดีฝ่าฝืนข้อห้ามตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 17,200 คน และเดือน พ.ค. 2563 อีก 9,000 คน ซึ่ง ส รัตนมณี พลกล้า (Sor Rattanamanee Polkla) ทนายความด้านคดีสิทธิมนุษยชน มองว่า ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงของไทย กำลังทำให้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินกลายเป็นเรื่องการเมือง
ทั้งนี้ กลุ่มคนที่ถูกจับกุมมีตั้งแต่ชาวสวนที่ออกไปกรีดยางพาราและชาวประมงที่ออกไปหาปลาตอนกลางคืน ผู้ชุมนุมประท้วงเพราะเดือดร้อนจากโครงการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมใกล้ชุมชน ไปจนถึงคนที่นำอาหารและเงินออกมาแจกจ่ายผู้ที่กำลังประสบความลำบากในชีวิต แหล่งข่าวอีกรายที่ทำงานด้านข่าวกรอง ยอมรับกับสื่อญี่ปุ่นว่า การห้ามออกจากบ้านในเวลากลางคืน (เคอร์ฟิว) ช่วยลดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ควบคู่ไปกับการจำกัดการเดินทางมาชุมนุมประท้วงของผู้ที่ประสบความเดือดร้อนในชีวิตจากมาตรการต่างๆ ของรัฐ
แหล่งข่าวรายนี้ ยกตัวอย่างกลุ่มคนที่ตกงานและพยายามจะเดินทางมาติดตามเรื่องที่กรุงเทพฯ เช่น ที่กระทรวงการคลัง แน่นอนว่าแนวคิดนี้มันเป็นความคิดทั่วไปของทหาร ขณะที่ตำรวจนั้นถูกมองว่าพุ่งเป้าจัดการกับนักศึกษาและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จัดชุมนุมเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการกล่าวหาผู้จัดกิจกรรมว่าละเมิดมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อปิดกั้นการแสดงออก
รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ วิพากษ์วิจารณ์การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เช่น การอ้างเรื่องข่าวปลอม (Fake News) ทั้งนี้ตลอด 5 ปีของการเป็นผู้นำรัฐบาลทหาร พล.อ.ประยุทธ์ ปกครองประเทศไทยด้วยกฎอัยการศึกรวมถึงกฎหมายพิเศษที่เรียกกันว่า “มาตรา 44 (Section 44)” กระทั่งมีการเลือกตั้งในเดือน มี.ค. 2562
สุนัย ผาสุก (Sunai Phasuk) นักวิจัยประจำประเทศไทยขององค์การฮิวแมน ไรท์ วอทซ์ (Human Rights Watch) ระบุว่า ภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่มีอะไรกำกับดูแลการออกคำสั่งและการปฏิบัติงานของ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะรัฐมนตรี ประเทศไทยจึงดูเหมือนปกครองแบบเผด็จการมากขึ้นเรื่อยๆ อนึ่ง ในแวดวงวิชาการของกรุงเทพฯ มีการเปรียบเปรยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้อ้างเหตุด้านสาธารณสุขทำรัฐประหาร (Medical Coup) เสียแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี