"หมอระวี"อภิปรายงบฯ64 เสนอรัฐบาลผันเงินให้ค่าตอบแทนหมอพยาบาล พร้อมเร่งจัดงบฟื้นฟูระบบสหกรณ์ให้ยั่งยืน
เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวตอนหนึ่งว่า จากการตรวจสอบงบประมาณปี 2564 ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าไม่มีการตั้งงบประมาณค่าตอบแทนวิชาชีพหมออนามัย ทั้งๆที่วิชาชีพ แพทย์ เภสัชกร พยาบาล ทันตแพทย์ ได้รับมาหลายปีแล้ว ซึ่งหมออนามัยต้องปฏิบัติหน้าที่ เป็นนักรบแนวหน้า ในการต่อสู้กับโรคต่างๆทุกโรค ต้องทำหน้าที่อย่างหนักทั้งเชิงรุก และเชิงรับ ตนจึงขอเรียกร้องให้ มีการตั้งงบประมาณให้กระทรวงสาธารณสุข 1,500 ล้านบาท มาจ่ายเป็นค่าตอบแทนวิชาชีพแก่หมออนามัย เกือบ 20,000 คนทั่วประเทศ
"ผมขอน้ำใจจาก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วย โดยนำงบประมาณจากหมวดอื่น 16 หมวด ของกระทรวงเพียง 1% คิดเป็นเพียง 1,500 ล้านบาท ปรับมาเป็นหมวดที่ 17 คือ หมวดน้ำใจแก่หมออนามัย นักรบแนวหน้าของวงการสาธารณสุขไทย ที่จะจารึกในใจของเหล่านักรบเสื้อฟ้าว่าหมอหนู ผู้มีน้ำใจต่อหมออนามัย เป็นรัฐมนตรีคนแรก และคนเดียวที่อนุมัติ ค่าตอบแทนวิชาชีพแก่หมออนามัยทั่วประเทศ หรือว่าท่านรัฐมนตรี จะรอให้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข คนใหม่ในอนาคตเป็นผู้อนุมัติ ก็แล้วแต่จะพิจารณา" นพ.ระวี กล่าว
นพ.ระวี กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ งบประมาณสำหรับการทำวิจัยทางการเกษตรนั้นตนเองคิดว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมเป็นหลัก การวิจัยพันธุ์พืช หรือพันธุ์สัตว์ที่ประสบผลสำเร็จเพียงตัวอย่างเดียว จะส่งผลต่อเศรษฐกิจรายได้มหาศาล ที่ผ่านมางบวิจัยทางการเกษตรของประเทศไทย ไม่ถึง 1,000 ล้านบาทต่อปี ส่งผลให้การพัฒนาพันธุ์พืช กับพันธุ์สัตว์ ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร เพื่อที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นครัวโลกอย่างแท้จริงหลังโควิดระบาด ตนเสนอให้แปรงบเป็นเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท มาเป็นงบสนับสนุนการวิจัยการเกษตร ผ่านหลายๆ กระทรวง ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตร กระทรวงอุดมศึกษา , สถาบันวิจัยแห่งชาติ , มหาวิทยาลัยต่างๆ เพราะถ้าเราไม่เร่งพัฒนา ต่างชาติจะเป็นฝ่ายเร่งพัฒนา และได้เป็นเจ้าของลิขสิทธ์พืชพันธุ์ใหม่ที่ดีกว่าสายพันธุ์เดิม ในอนาคตระยะยาว ไทยจะถูกบีบจากสนธิสัญญาคุ้มครองพืชพันธุ์ใหม่ ทำให้เกษตรกรไทยต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ ,ต้นพันธุ์ใหม่จากลิขสิทธ์ต่างชาติ จะทำให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรไทยสูงขึ้น
นพ.ระวี กล่าวว่า นอกจากนี้ ในส่วนของงบกองทุนพัฒนาสหกรณ์สหกรณ์จำนวนมาก พบปัญหาการทุจริตของผู้บริหารสหกรณ์ จนเกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องของสหกรณ์ บางสหกรณ์ถึงขั้นเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ บางแห่งเสี่ยงต่อการล้มละลาย ขอให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตร ร่วมกับ ขบวนการสหกรณ์ ได้ปรึกษากันโดยมีแนวทางที่ช่วยเหลือ สหกรณ์ที่ขาดสภาพคล่องให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้โดยการ ระดมเงินทุนจากขบวนการสหกรณ์ที่มีฐานะการเงินที่ดีอยู่ มาจัดตั้งกองทุนบัญชีร่วมเพื่อรักษาเสถียรภาพของสหกรณ์ ผ่านกองทุนพัฒนาสหกรณ์ กระทรวงเกษตร ภายใต้หลักการดังนี้ 1.ขอให้รัฐบาล จัดสรรงบ 1,000 ล้านบาท ผ่านกองทุนพัฒนาสหกรณ์ กระทรวงเกษตร เป็นทุนประเดิม ในการตั้งกองทุนบัญชีร่วมฯ 2.ระดมเงินจากขบวนการสหกรณ์ เข้าร่วมกองทุนบัญชีร่วมฯ เป็นเงิน 3,000 - 5,000 ล้านบาท 3.กระทรวงเกษตร เป็นผู้บริหารหลักของกองทุนฯ บัญชีร่วม โดยมีหลักประกันความโปร่งใส และมีความปลอดภัยมิให้ เกิดความเสียหายกับกองทุนฯ บัญชีร่วม และ 4.รูปแบบการบริหาร กองทุนบัญชีร่วมฯ รูปแบบการบริหารในรูปแบบนี้จะปลอดภัยต่อเงินงบประมาณ 1,000 ล้านบาท และเงินร่วมลงทุนของสหกรณ์ต่างๆ อีก 3 - 5 พันล้านบาท
"ผมจึงขอเสนอให้รัฐบาล จัดสรรงบประมาณ 1,000 ล้านบาท ให้กองทุนพัฒนาสหกรณ์ กระทรวงเกษตร เพื่อนำไปเป็นเงินประเดิมจัดตั้งกองทุนบัญชีร่วมฯ เมื่อรัฐบาลให้เงินประเดิม ขบวนการสหกรณ์ ก็จะมาร่วมลงทุน 3,000 - 5,000 ล้านบาท เพื่อช่วยพยุงเสถียรภาพของระบบสหกรณ์ไทยต่อไป ถ้ารัฐบาลไม่ยอมลงทุนเป็นประเดิม 1,000 ล้านบาท สหกรณ์ต่างๆ ก็อาจจะไม่ยอมมาร่วมลงทุนตั้งกองทุนบัญชีร่วมฯ ซึ่งอาจจะส่งผลให้สหกรณ์หลายแห่งอาจจะล้มละลาย และผลสะเทือนต่อระบบสหกรณ์ไทยทั้งระบบต่อไป" นพ.ระวี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี