1.เมื่อบทความที่แล้ว ผมว่าด้วยเงินจำนวน 400,000 ล้านบาทจากพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ด้วยวงเงินทั้งสิ้น 1 ล้านล้านบาท
โดยตั้งคำถามถึงการพิจารณาโครงการหรือแผนงานของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้ก้อนนี้ ที่วางกรอบให้ครอบคลุมใน 3 เรื่อง คือ 1) แผนงานการลงทุนและกิจกรรมการพัฒนาเพื่อการพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้าและการลงทุน รวมไปถึงการท่องเที่ยวและบริการ 2) แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพในเรื่องการส่งเสริมการตลาดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชุมชน การจัดหาปัจจัยการผลิตและการยกระดับมาตรฐาน คุณภาพ และมูลค่าเพิ่มของสินค้าและผลิตภัณฑ์ ในท้องถิ่นหรือชุมชน และ 3) แผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และสนับสนุนกระบวนการผลิตเพื่อการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป ซึ่งผมได้นำเสนอกลุ่มเป้าหมายที่โครงการหรือแผนงานควรกำหนดให้ชัดเจนก็คือ 1) เกษตรกรรายย่อย และแรงงานรับจ้าง 2) ผู้ประกอบการรายย่อย และ 3) ผู้ประกอบการ SME เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้ก้อนนี้เกิดความคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพสูงสุด
2.ในบทความนี้ ผมจึงขอขยายการส่งเงินลงไปยังกรอบเป้าหมายที่ได้นำเสนอไปอย่างละเอียดมากขึ้น เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เงินกู้ 4 แสนล้านก้อนนี้ก่อนว่า ต้องไม่ใช่การเติมเงินลงไปเพื่อช่วยสภาพคล่องของกระแสเงินสดในแบบที่ ธปท. ทำกับระบบของเศรษฐกิจส่วนบนแต่ต้องเป็นการสร้างผลิตภาพและความยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจฐานราก ดังนั้น ผมขอเสนอ 5 ช่องทางสำหรับการลงทุนด้วยเงินกู้ 4 แสนล้านบาทที่น่าสนใจ ดังนี้
1) การลงทุนเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำชุมชน และการกระจายน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรของเกษตรกรรายย่อย ซึ่งอยู่นอกเขตพื้นที่ชลประทาน เพื่อให้พวกเขาสามารถทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี ส่วนผู้ประกอบการรายย่อย และ SME ต้องมีน้ำเพียงพอเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตและการดำเนินกิจการ ถ้าทำได้เช่นนี้ เราจะมีผลผลิตออกมามากมาย และนั่นคือรายได้จำนวนมหาศาลที่จะเกิดขึ้นในประเทศ
2) การลงทุนเพื่อการปรับปรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์และเหมาะสมกับการเพาะปลูกพืชในแต่ละชนิด จะส่งผลให้ผลผลิตต่อพื้นที่ของการผลิตเพิ่มมากขึ้น เพราะสารอาหารในดินที่อุดมสมบูรณ์จะช่วยให้พืชที่ปลูกเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง นี่เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องจัดการ เพราะคุณภาพดินในประเทศของเราไม่ได้รับการปรับปรุงอย่างเป็นระบบมาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว ประกอบกับการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีจำนวนมหาศาลของเกษตรกรติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ตรงนี้ต้องใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาดูแลเป็นการด่วน
3) การลงทุนเพื่อการใช้เทคโนโลยีสำหรับการผลิต การเก็บเกี่ยว ไปจนถึงเรื่องของการกระจายสินค้า และการตลาดสมัยใหม่ เพราะเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการผลิต คือ มีต้นทุนที่ต่ำลง แต่ได้ผลผลิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงดิน การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ การปลูกและเฝ้าระวังแมลงและโรค รวมไปถึงการเก็บเกี่ยวที่ให้ความเสียหายต่อผลผลิตน้อยลง ส่วนเรื่องของเทคโนโลยีสำหรับการขาย และการตลาดที่ทันสมัย จะช่วยให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเข้าถึงตลาดและลูกค้าได้กว้างขึ้นกว่าเดิม ช่วยให้เกิดความเข้าใจต่อพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำมาประมวลในเรื่องของการสร้างความพึงพอใจต่อสินค้าและการบริการ ที่สำคัญ การพบเจอกันทางตรงของผู้ผลิตและลูกค้าจะช่วยในเรื่องของราคาที่เหมาะสมของทั้งสองฝ่าย เมื่อสามารถลดอัตราราคาที่เพิ่มขึ้นจากพ่อค้าคนกลางลงมาได้ คนผลิตก็มีกำไรมากขึ้น คนซื้อก็ได้ราคาที่ถูกลง
4) การลงทุนเพื่อสร้างระบบขนส่ง (logistic) ให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย และ SME เพราะว่าในระบบธุรกิจปัจจุบัน เกษตรกรและผู้ประกอบการฐานรากขาดศักยภาพในการแข่งขัน เนื่องมาจากต้นทุนของการเคลื่อนย้ายสินค้าแพงกว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่ เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือร้านขายของชำแบบชาวบ้านทั่วไป ที่มีสินค้าจำกัด และสภาพเก่า กับร้านสะดวกซื้อที่ทันสมัย สินค้ามีให้เลือกมากมาย และสภาพใหม่และสดทุกวัน นั่นคือความต่างกันที่ระบบขนส่ง เช่นเดียวกับเกษตรกรรายย่อยที่คงไม่คุ้มทุนที่จะนำสินค้าออกไปขายเอง จึงต้องผ่านพ่อค้าคนกลางเพื่อนำสินค้าออกไปขายนอกพื้นที่แทน นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญ ว่าทำไมต้องสร้างระบบการแข่งขันให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยด้วยการลงทุนไปกับระบบขนส่ง (logistic)
5) การลงทุนเพื่อการพัฒนาทักษะสมัยใหม่ และยกระดับทักษะเดิมให้เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย และ SME รวมไปถึงผู้ใช้แรงงานในฟาร์ม และโรงงานขนาดเล็กที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ นี่คือหัวใจสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เพราะถ้าแรงงานในส่วนต่างๆ ขาดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังเข้ามาเติมเต็มกระบวนการผลิตของพวกเขาเสียแล้ว ประสิทธิภาพของการผลิตและการบริการที่เคยคาดหวังเอาไว้ ก็อาจลดลงไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น การลงทุนกับศักยภาพของคนจึงต้องให้ความสำคัญ และไม่ควรละเลยในรายละเอียดต่างๆ อาทิ ความตั้งใจ การออม ชีวิตความเป็นอยู่ ความสัมพันธ์ในครอบครัว เหล่านี้คือองค์ประกอบสำคัญที่จะผลักดันให้แรงงานสามารถขับเน้นศักยภาพออกมาอย่างสูงสุด
ผมมีความเชื่อว่า เงิน 4 แสนล้านที่จะไปกู้มาใช้ จะไม่หมดไปเพียงแค่การประคองระบบเศรษฐกิจให้อยู่รอดเท่านั้น เพราะถ้าหน่วยงานหลักสามารถทำเป็น และเห็นปัญหาอย่างแม่นยำ ก็น่าจะไปถึงขั้นการพลิกฟื้นระบบเกษตรและธุรกิจฐานรากอย่างก้าวกระโดดได้เลยทีเดียว และอาจนำไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมมากขึ้นในประเทศของเรา ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ที่คนไทยทุกคนมีโอกาสในการประกอบอาชีพที่เท่ากัน และเสมอภาคในการแข่งขัน ดังนั้น ก้าวแรกที่สำคัญ ที่จะทำให้เงินกู้ 4 แสนล้านบาทนี้ ไม่เสียของก็คือ แนวคิดทั้งหมดที่ผมได้นำเสนอไปผ่านบทความทั้งสองชิ้นซึ่งก็อยู่ที่การพิจารณาของผู้เกี่ยวข้องทุกท่านแล้วว่า จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ในรูปแบบใด ก็ขอฝากไว้ให้นำไปไตร่ตรองด้วยครับ
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี