เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นประธาน ซึ่งได้เชิญ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) และคณะเข้าชี้แจงกรณีการตรวจสอบคุณสมบัติของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดที่ประเทศออสเตรเลีย
โดยนายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการฯ พยายามจี้ถามตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ปส.) ว่าได้ติดตามรื้อคดีของ ร.อ.ธรรมนัสให้รับโทษในประเทศหรือไม่กรณีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งพล.ต.ท.ชินภัทรชี้แจงว่าเป็นคดีเก่าที่จบไปแล้วและไม่ได้อยู่ในช่วงที่ตนดำรงตำแหน่ง ผบช.ปส. อีกทั้งคดีนี้ไม่ได้รับความร่วมมือจากต่างประเทศมาให้ข้อมูล ทำให้ไม่มีการหยิบยกคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ ยืนยันว่า คดีนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตำรวจ ปส.ซึ่งการจะขอข้อมูลจากต่างประเทศต้องให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการ
นายธีรัจชัย ยังได้สอบถามถึงการจัดทำบัญชียาเสพติด โดย พล.ต.อ.ชินภัทร ยืนยันว่า ไม่ได้มีการทำบัญชีไว้ และไม่มีชื่อของ ร.อ.ธรรมนัส เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดตามที่มีกระแสข่าว ส่วนกรณีตรวจสอบคุณสมบัติส.ส.ของ ร.อ.ธรรมนัส เมื่อครั้งลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น ยืนยันว่า ไม่มีการประสานของให้ตำรวจ ปส. ดำเนินการตรวจสอบสถานะแต่อย่างใด
พล.ต.ท.ชินภัทร ยังกล่าวถึงการทำหน้าที่ของตำรวจ ปส. ปัจจุบันว่าเน้นไปที่การจับกุมเครือข่ายรายใหญ่ เพื่อขยายผลยึดทรัพย์ ของผู้ที่เกี่ยวข้อง ส่วนยาเสพติดรายย่อยเป็นหน้าที่ของตำรวจภูธรดำเนินการจับกุม มีเพียงบางกรณีเท่านั้นที่ร้องขอให้ตำรวจ ปส. เป็นผู้ดำเนินการ ยืนยันว่า ตำรวจ ปส. ทำตามอำนาจหน้าที่อย่างดีที่สุด
นอกจากนี้นายธีรัจชัย ยังได้ถามถึงข้อกฎหมายตามมาตรา5 ของพ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 ที่ระบุว่าแม้กระทำผิดนอกราชอาณาจักรต้องได้รับโทษในราชอาณาจักรด้วยใช่หรือไม่ ซึ่งพล.ต.ท.ชินภัทร ชี้แจงว่า ไม่สามารถให้คำตอบได้ เพราะต้องขอข้อมูลจากต่างประเทศมาพิจารณา ทำให้ที่ประชุม นำข้อมูลจากศาลออสเตรเลีย มาให้ตำรวจ ปส. ไปพิจารณา เพื่อดำเนินคดีต่อไป
จากนั้นที่ประชุมได้เชิญพ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พร้อมคณะเข้าชี้แจง กรณีการลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ของ ร.อ.ธรรมนัส ว่าทาง กกต.ได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ เหตุใดจึงให้เข้ามาทำหน้าที่ ส.ส. โดย พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ชี้แจงยืนยันว่า กกต. ได้ตรวจสอบคุณสมบัติ ของร.อ.ธรรมนัส เช่นเดียวกับผู้สมัครรับเลือกตั้งรายอื่นนับหมื่นราย โดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ส่งให้ 20 หน่วยงานเพื่อให้ข้อมูลกลับมา แต่ยอมรับว่า ไม่ได้รับข้อมูลตอบกลับจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เนื่องจากได้รับแจ้งว่า มีปัญหาในการตอบกลับข้อมูล แต่ป.ป.ส.เป็นหนึ่งในคณะกรรมการในการตรวจสอบคุณสมบัติอยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัสยืนยันในเอกสาร การสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนนั้น พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ชี้แจงว่า หากพบว่า ร.อ.ธรรมนัสขาดคุณสมบัติจริงก็จะมีความผิดตามมาตรา 151 ของกฎหมายเลือกตั้ง ที่ขณะนี้ กกต. กำลังพิจารณาเอาผิด ส.ส.อยู่หลายคน รวมถึงจะมีความผิดฐานแจ้งข้อมูลเท็จต่อเจ้าพนักงาน ซึ่งเรื่องของ ร.อ.ธรรมนัส ที่กำลังเป็นกระแสข่าวอยู่นี้ ยังไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ และกรณีที่ยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของ กกต. หากกรรมาธิการฯ เห็นว่า ร.อ.ธรรมนัส ไม่มีคุณสมบัติ หรือมีความผิดจริงก็ขอให้ยืนยันมายัง กกต. เพื่อให้วินิจฉัย ซึ่งหาก กกต. ไต่สวนแล้วเห็นว่า มีความผิด ก็จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
“ส่วนตัวผมเห็นว่า พยานหลักฐานตามที่กรรมาธิการฯ พูดถึงทั้งคำพิพากษาของศาลออสเตรเลียถือว่าโอเคแล้ว” พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ นายธีรัจชัย ได้แจ้งต่อเลขาธิการ กกต.ว่า หลังจากนี้ ทางคณะกรรมาธิการฯ จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อส่งเรื่องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎรไปยัง กกต.ให้พิจารณาคุณสมบัติของร.อ.ธรรมนัสต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี