ขุนพลเสื้อกั๊กมาแล้ว! ‘ธีรยุทธ’ มองโควิดยังอยู่อีกยาว ร้ายแรงกว่าที่คิด คาดปลายปีนี้ป่วยลามมีถึง 40 ล้านทั่วโลก ยกนิ้ววิถีไทยแก้ปัญหาเยี่ยมชาติตะวันตกไม่ติดฝุ่น แนะรัฐบาลปรับกระบวนทัศน์ศก. แจงข้อมูลให้เร็ว อย่าหมกเม็ดเกรงใจผู้มีอำนาจ ทำประชาชนหมดความไว้ใจ
เมื่อวันที่ 15 กรกฏาคม 2563 ที่มหาวิทยาลัยรังสิต สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) ร่วมกับวิทยาลัยนวัตกรรมสังคมและสำนักงานพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ได้จัดเสวนาในหัวข้อ"Post Covid 19 กับอนาคตสังคมไทย" โดยมีนายธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการ และนักวิพากษ์วิจารณ์การเมือง เป็นวิทยากรนำเสนอการบรรยาย
โดยนายธีรยุทธ กล่าวว่า การขยายตัวของโควิดในโลกตอนนี้เป็นปัญหาใหญ่ และร้ายแรงกว่าที่คิด ต้องร่วมแรงร่วมใจกันแก้ปัญหาตามธรรมชาติของไวรัสโควิด จะประมาทไม่ได้ ทุกคนต้องยอมรับกติกาว่าวิถีชีวิตของโควิดทำงานอย่างไร ดังนั้นชาติไหนที่หลีกเลี่ยงชาตินันเกิดปัญหาหมด เพราะโควิดแพร่กระจายรวดเร็วแบบมหาศาล ตนคิดว่าโลกส่วนใหญ่ขาดความสามารถที่จะแก้ปัญหาการแพร่กระจายของโควิด มาจากปัจจัยหลายอย่าง เท่าที่เห็นมีประเทศที่ดีพอที่จะแก้ได้ มีเจตจำนงค์ทางประชาชาติ และทางการเมือง คือ จีน เวียดนาม ไทย ที่อาศัยความร่วมมือร่วมใจแก้ปัญหาได้จนเชื้อเป็นศูนย์ โดยเฉพาะในไทยตนแทบไม่อยากเชื่อ เพราะมีคนตั้ง 70 ล้านคน พื้นที่กว้างใหญ่ มีความหลากหลายทางสังคม ในขณะที่ประเทศอื่นๆขาดเจตจำนงค์ดังกล่าว
นายธีรยุทธ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ประเทศอื่นๆรับมือกับโควิดได้ไม่ดี คือ ผู้นำทางการเมืองไม่ดีระดับความตื่นตัวและความรับรู้ทางการแพทย์ ความยากจน ไม่พร้อมทางสาธารณสุข การพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงของโรค และวัฒนธรรมของแต่ละทวีปต่างกัน เช่น การสวมหน้ากากอนามัยไม่แน่จริง ประเทศตะวันตกจะเน้นปัจเจกบุคคล หรือค่านิยมที่บุคคลสูงว่าต้องแสดงออกอย่างไร แต่อย่างไทยเราเน้นส่วนรวม ความเมตตา เอื้ออาทรต่อกันมากกว่า
“ปัญหาโควิดในโลกคงจะไม่จบลงง่ายๆ เท่าที่เห็นวิธีต่างๆที่โลกทำ พอเชื้อเริ่มคลายลง ก็เริ่มคลายล็อค พฤติกรรมคนก็เริ่มหย่อนยานลงด้วย ดังนั้นเชื้อโควิดก็จะปะทุเพิ่มขึ้นและต่ำลงสลับกันอยู่อย่างนี้ ส่วนการคลายล็อค เปิดประเทศจริงๆ เพื่อไปมาหาสู่ ทำมาค้าขาย ท่องเที่ยวบริการ จะไม่เกิดโดยง่าย จะใช้เวลาค่อนข้างนาน ต่อจากนี้ผมคาดการณ์ว่ากว่าจะมีการผลิตวัคซีนในช่วงปลายปีนี้ กว่าวัคซีนจะได้ผล ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลกน่าจะไปถึง 40 ล้านคน เศรษฐกิจภาคการผลิตของโลกจะเริ่มฟื้นตัวได้ประมาณต้นปี 64 ส่วนภาคบริการท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นตัวได้ประมาณกลางปี 64 และจะเริ่มดีขึ้นช่วงปลายปี 64” นายธีรยุทธ กล่าว
นายธีรยุทธ กล่าวต่อว่า ความแตกต่างระหว่างไทยกับตะวันตก หรือยุโรป ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่เกิดขึ้นที่จังหวัดระยอง และกรุงเทพฯ ทำให้เห็นว่าค่านิยมของปัญหาในเรื่องความเจ็บป่วยในชีวิตของคน ความแคร์ต่อกัน มันต่างกัน ของเราหากมีคนตาย จะถือเป็นเรื่องใหญ่ และจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้นอีก แต่ตะวันตกหรือยุโรป คนตายเป็นพันเป็นหมื่น จะเปิดโรงเรียน แต่เราแค่เริ่มสงสัยว่าจะมีติดเชื้อ ก็ปิดโรงเรียนแล้ว ตนคิดว่าไทยคงไม่สามารถเปิดประเทศได้ง่ายๆ เพราะวิธีคิดของคนไทย จะคำนึงอันตราย เรื่องชีวิตค่อนข้างมาก การติดต่อระหว่างประเทศในทุกด้านคงเป็นความคาดหวังที่เกินจริง ดังนั้น เราควรตั้งเป้าให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ถ้าโควิดมันยาวนาน การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในโลกและไทยคงจะเกิดขึ้น
“ผมไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะพังทลายแบบรุนแรง เพราะเรารู้ปัญหาอยู่แล้วว่าเกิดจากภัยธรรมชาติ และหาทางแก้ได้ แต่ที่เป็นห่วงคือความไม่สามารถทางการเมืองทางสังคมของประเทศต่างๆ แล้วซ้ำเติมด้วยโควิด การเกิดปฏิวัติรัฐประหาร การเกิดสงครามกลางเมืองในบางที่ มีโอกาสเกิดขึ้นตั้งปีหน้าเป็นต้นไป” นายธีรยุทธ กล่าว
นายธีรยุทธ กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาวิกฤตโควิดในไทย จะคาดฝันการฟื้นตัว หรือจะแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจโดยเร็วคงไม่ได้ ต้องปรับความคิดใหม่ สิ่งที่ตนจะเสนอนอกจากนิว นอร์มอล ก็คือ 1.การปรับกระบวนทัศน์ใหม่ในโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ต้องมองภาพเศรษฐกิจใหม่ เราพึ่งการท่องเที่ยวมากไป ยิ่งถ้าต่างชาติเข้ามาไทยจะเกิดปัญหาแน่ ต้องแก้ปัญหาที่โครงสร้างภาคบริการ เศรษฐกิจการท่องเที่ยว ต้องปรับตัว เช่น โรงแรมจำนวนมากสร้างขึ้นมารองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวจะทำอย่างไร ดังนั้นรัฐบาลจะช่วยเหลืออย่างไร ต้องช่วยกันคิดกับผู้ประกอบการ เพราะต้องหดตัวลงค่อนข้างมาก และ2.ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจภายในกันมากขึ้น หาทางให้คนชั้นบน คนชั้นกลาง หรือคนที่มีฐานะ มีโครงการใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น แผนการใช้เงินของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจถ้ายังคิดจะโตเเบบเดิมคงไม่ได้แล้ว
นายธีรยุทธ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาทั้งภาครัฐ แพทย์ พยาบาล และประชาชนมีความอ่อนล้าแล้ว ตนเห็นใจ จึงควรต้องเตรียมเพิ่มบุคลากรชุดใหม่ เพื่อสร้างการหมุนเวียน สร้างกำลังความตั้งใจความมุ่งมั่นใหม่ๆ เพราะถ้ารัฐบาลจะรักษาเศรษฐกิจในระดับหลายแสนล้าน การลงทุนไปอีกไม่ถึงหมื่นล้านมันคุ้ม การใช้บุคลากรเดิมไปเฝ้าระวังมันก็เหนื่อย และต้องเข้าใจวัฒนธรรมกับความเป็นจริง คนไทยมักกลัวคนมีอำนาจกับคนรวย ทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ลำบาก ศบค.ต้องมีมาตรการพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหา อย่างเช่น สถานทูตอยู่ใกล้อาคาร คอนโด ถ้ามีการกักตัวบริเวณนั้น ก็จะมีโอกาสติดเชื้อสูง ความรู้แบบนี้ชาวบ้านยังรู้เลย เจ้าหน้าที่รัฐต้องรู้แล้วว่าควรทำอย่างไรในรายละเอียด เพื่อไม่ให้หละหลวม
นายธีรยุทธ กล่าวด้วยว่า การปัญหาโควิดไม่ใช่เรื่องง่าย ปัญหาสังคมก็กำลังตามมา แต่โควิดทำให้ประชาชนตื่นตัว ทำให้รู้สึกว่ามีชะตากรรมของตัวเอง และประเทศร่วมกัน ตนก็เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก ถือเป็นเรื่องที่ดี ดีกว่าการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองที่ผ่านมามากมายมหาศาล ถ้านายกรัฐมนตรีมองเรื่องนี้ดีๆ จะสามารถนำไปผลักดันประเทศ สร้างโครงสร้างใหม่ๆได้ในทุกมิติ อย่างไรก็ตาม ปัญหาโควิดทำให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจ โดยเอาชีวิตตัวเอง ความทุกข์ยาก อาชีพ รายได้ของตัวเองไปเป็นเดิมพัน มันเป็นความไว้วางใจกันอย่างสูงสุด รัฐบาลโชคดีที่ได้ความไว้ในเนื้อเชื่อใจนี้จากประชาชนแบบสูงสุด ต้องรักษาไว้ให้ดี แต่ถ้ามันหายไป ถ้าบริหารผิดพลาด จะกลายเป็นความเสียใจ ผิดหวัง ไม่พอใจ และมีปฏิกริยาแรงๆเกิดขึ้น
“การสื่อสารของแพทย์ ดีกว่าทหาร หรือนักการเมืองสื่อสาร ถ้าเอาทหารมาเป็นโฆษกศบค. ป่านนี้ทะเลาะกันไปนานแล้ว เรายังมีชะตากรรมร่วมกันไปอีก2ปีอย่างต่ำ แต่สิ่งที่ต้องปรับปรุงคือการสื่อสารต้องเร็ว ทันเวลา การปิดบัง ไม่เปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจน หรือพยายามจะรักษาผลประโยชน์ใคร จะไม่ทันการ เพราะมันมีความหมายต่อชีวิต หรือความเป็นตาย ต้องมีความโปร่งใส ตรงไปตรงมา เคารพซึ่งกันและกัน อย่าเกรงใจ หรือเกรงกลัวอำนาจ เพราะเราเดิมพันกันด้วยชีวิต ประชาชนก็หวังผู้ที่กล้าหาญในภาวะวิกฤต กล้าเปิดเผยความจริงโดยไม่นึกถึงตัวเองแม้จะได้รับผลกระทบ” นายธีรยุทธ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี