‘ศรีสุวรรณ’ชี้เอกสิทธิ์ทางการทูต  ใช้ไม่ได้กับกรณี‘โควิด-19’

‘ศรีสุวรรณ’ชี้เอกสิทธิ์ทางการทูต ใช้ไม่ได้กับกรณี‘โควิด-19’

วันศุกร์ ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2563, 11.41 น.

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2563 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่เกิดกรณี เจ้าหน้าที่ของสถานทูตเอสโตเนีย 1 คน ที่เพิ่งเดินทางเข้ามาภายในไทย พยายามขอเข้าพักคอนโดหรู มิลเลนเนี่ยม เรสซิเดนซ์ ย่านสุขุมวิท โดนอ้างสิทธิ์ทางการทูต แต่เจ้าหน้าที่ของคอนโดปฏิเสธการให้เข้าพัก เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูกบ้านจากเชื้อโควิด-19 หลังเกิดกรณีทหารอียิปต์ และลูกอุปทูตซูดาน ประกอบกับจากกรณีดังกล่าว ศบค. แถลงชัดว่า จะไม่อนุญาตสิทธิพิเศษ ให้บุคคลใดเข้ามาโดยไม่ต้องกักตัวอีก แต่ตัวแทนของสถานทูตไม่ยินยอม และมีการอ้างเอกสิทธิ์ทางการทูตด้วยนั้น 

กรณีดังกล่าว มีข้อสงสัยถึงการบริหารจัดการของกระทรวงการต่างประเทศ และ ศบค.อีกครั้งทั้งที่ประกาศชัดเจนว่า ได้ยกเลิกสิทธิการยกเว้นบุคคลพิเศษเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัวแล้ว  และกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือแจ้งไปทุกสถานทูตเมื่อวันที่ 14 ก.ค. แล้วว่า คณะทูต คณะกงสุล องค์กรระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาลที่มาปฏิบัติงานในประเทศไทย เมื่อถึงไทยจะต้องแยกกักตัวเอง 14 วัน รวมถึงต้องรอผลตรวจโควิดที่สนามบินก่อน แต่เอกสารดังกล่าวไม่ได้มีมาตรการบังคับโดยเด็ดขาด เหมือนอย่างที่ ศบค. แถลง 


ทั้งนี้หาก ศบค.ปล่อยให้อภิสิทธิ์ชนเหล่านั้นเข้ามาในประเทศโดยไม่กักตัว 14 วันตามมาตรฐานทั่วไป ก็อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยตรง ทั้งนี้เอกสิทธิ์ทางการทูตนั้นมีขอบเขตจำกัด ไม่สามารถใช้ได้ทุกเรื่อง ซึ่งตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ.1961 บัญญัติไว้ในข้อ 41 วรรคหนึ่ง ความว่า “ตัวแทนทางทูตมีหน้าที่เคารพกฎหมายและข้อบังคับของรัฐผู้รับ และไม่แทรกสอดในกิจการภายในของรัฐผู้รับ” รวมทั้งอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงสุล ค.ศ.1963 ก็บัญญัติไว้ในข้อ 55 วรรคหนึ่ง ความว่า “เจ้าพนักงานกงสุลมีหน้าที่เคารพกฎหมายและข้อบังคับของรัฐผู้รับ และไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐผู้รับ” ซึ่งชี้ให้เห็นว่าจะใช้ข้ออ้างว่าเป็นเอกสิทธิ์ทางการทูตมาใช้ในกรณีการปฏิบัติตามระเบียบการควบคุมการแพร่เชื้อโควิด-19 ในไทยไม่ได้ 

ซึ่งอนุสัญญาดังกล่าวมี พรบ.ว่าด้วยเอกสิทธิ์และการคุ้มกันทางการทูต 2527 และ พรบ.ว่าด้วยเอกสิทธิ์และการคุ้มกันทางกงสุล 2541 ซึ่งใช้เป็นกฎหมายที่อนุวัติของอนุสัญญาดังกล่าวไว้แล้ว อีกทั้งตามประกาศ เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี ตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 25 มี.ค.2563 ที่กำหนดอำนาจนายกรัฐมนตรีไว้ 40 ฉบับนั้น ไม่ปรากฏว่ามี 2 พรบ.ดังกล่าวข้างต้นอยู่ด้วย ดังนั้นหากนายกรัฐมนตรี และหรือ ศบค. จะใช้อำนาจออกข้อกำหนด “ยกเว้น” ให้เอกสิทธิ์ทางการทูต เพื่อเอาใจคณะทูต คณะกงสุล และองค์กรต่างประเทศ โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทยกรณีโควิด-19 ประชาชนชาวไทยสามารถแจ้งความเอาผิดนายกรัฐมนตรี และหรือ ผอ.ศบค. ตาม ปอ.ม.157 ได้ทันที

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top