เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 22 กรกฎาคม 2563 นายนิวัติไชย เกษมมงคล โฆษก ป.ป.ช. แถลงถึงแนวทางการป้องกันการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติ : กรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ว่า ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช.ได้มีโครงการ "การปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต ท่ามการวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19" เพื่อให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการสอดส่องและแจ้งเบาะแสการทุจริตทั่วประเทศ เพื่อสามารถป้องกัน ป้องปรามยับยั้งการทุจริต ดังที่ได้มีการแถลงข่าวไปก่อนแล้วนั้น ปัจจุบันสำนักงาน ป.ป.ช.โดยสำนักส่งเสริมและบูรณาการมีส่วนร่วมต้านทุจริต สำนักวิจัยและบริหารวิชาการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และสำนักมาตรการเชิงรุกและนวัตกรรม ได้ต่อยอดการดำเนินการจากการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตฯ พัฒนาไปสู่การวิจัยเชิงกรณีศึกษา เรื่องการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติ : กรณีศึกษาการแพระบาดของไวรัสโควิด-19 และเสนอแนวทางการป้องกันการทุจริตในกรณีดังกล่าว รวมทั้งในกรณีภาวะวิกฤติอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นำเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณา โดยผลของการดำเนินการ สรุปได้ดังนี้
1. ผลการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริตฯ ซึ่งผลจากการมีส่วนร่วมของประชาชนร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดทั่วประเทศ ได้นำมาจัดทำเป็น "แผนที่พื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต (Corruption Risk Mapping)" ที่จะแสดงผลให้เห็นความเสี่ยงในการทุจริตและระดับความรุนแรงของการทุจริตของอำเภอ/เขต ในจังหวัด ในครั้งนี้พบว่า จากพื้นที่ทั้งหมด 928 แห่งทั่วประเทศ พบว่าร้อยละ 75 ของพื้นที่เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริต โดยมีความเสี่ยงในะดับที่เป็นไปได้สูงมากร้อยละ 13, มีความป็นไปได้สูงร้อยละ 35 และมีความเป็นไปได้ปานกลางร้อยละ 48
2. ผลการวิจัยเชิงกรณีศึกษาเรื่องการทุจริตในสถานการณ์วิกฤตฯ พบพฤติการณ์ส่อการทุจริตคือ มีการกักตุนสินค้า/จำหน่ายสินค้าในราคาสูง , มีพฤติการณ์ทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการงบประมาณในสถานการณ์ฉุกเฉิน , การจัดซื้อจัดจ้าง , การเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการเอกชนที่เป็นพรรคพวก และมาตรการเกี่ยวกับการเยี่ยวยา โดยปัจจัยเหตุที่ส่งผลคือ ความต้องการที่สินค้าที่มีลักษณะเฉพาะ , มาตรการควบคุมราคาสินค้าของภาครัฐไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ , การกำหนดคุณสมบัติและราคากลางในการจัดซื้อพัสดุของหน่วยงานของรัฐไม่ครอบคลุมสินค้าจำเป็นในช่วงวิกฤติ , ความไม่สมบูรณ์ของระบบฐานข้อมูลภาครัฐ เป็นตัน
3.ผลการวิเคราะห์และข้อเสนอแนวทางการป้องกันการทุงริตในสถานการณ์วิกฤติฯ ทั้งกรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งในกรณีภาวะวิกฤติอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ได้ผลสรุปจำแนกตามพฤติการณ์การทุจริต ได้แก่ การทุจริตเชิงนโยบายในการบริหารจัดการงบประมาณในสถานการณ์ฉุกเฉิน , การทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง , การทุจริตในการเอื้อประโยชน์ , การทุจริตในการกักตุนสินค้า การค้ากำไรเกินควร , การทุจริตเงินเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ , การทุจริตสิ่งของหรือเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งในรายละเอียดของข้อเสนอแนะในแต่ละพฤติการณ์นั้นจะประกอบด้วยหลักการสำคัญได้แก่ (1) กรทบทวนกฎหมายและกำหนดแนวทางปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉิน (2) กรบูรณาการและเปิดเผยข้อมูลผ่าน "Online Platfrom" (3) การตรวจสอบเชิงรุก (4) การสอดส่องและแจ้งเบาะแส (Watch and Voice)
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจรณาเห็นชอบแนวทางการป้องกันการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติ : กรณีศึกษาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ในขั้นตอนต่อไปก็จะมีการจัดทำข้อเสนอแนะดังกล่าวเสนอต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันการทุจริต พ.ศ.2561 ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจเกี่ยวกับรายละเอียดของแนวทางการป้องกันการทุจริตในสถานการณ์วิกฤติ : กรณีศึกษาการแพร่ระบาดของวรัส โควิด-19 เพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ www.nacc.co.th จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี