‘กมธ.กฎหมาย-กมธ.ศาล’ เชิญ ‘อัยการ-ตร.’ แจงคดี ‘บอส อยู่วิทยา’ อัยการยันเหตุผลไม่สั่งฟ้องเป็นไปตามพยานหลักฐานในสำนวน ด้าน ‘สายประสิทธิ์’ ชี้คำนวณตามหลักการทางวิชาการ ขณะที่ ‘พีระพันธุ์’ คาใจ 2 องค์กรพร้อมใจเอาชื่อเสียงกระบวนการยธ.มาเสี่ยงกับแค่คน 2 คน ลั่นว่ากันไปตามผิด-ถูก
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2563 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนร่วมกับ คณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการรัฐ วิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎร โดยได้มีการเชิญ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ที่สั่งไม่ฟ้องในคดีของนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา และคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงการทำคดีนี้ของฝ่ายอัยการ นำโดย นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม นายประยุทธ เพชรคุณ และ นายฤชา ไกรฤกษ์ อธิบดีอัยการ เจ้าของสำนวน พร้อมมีการเชิญ นายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้า พระนครเหนือ ที่ตรวจวัดความเร็วรถของ นายวรยุทธ ได้กว่า 76 กม./ ชม. มาชี้แจงข้อเท็จจริงการทำคดีต่อกรรมาธิการ ซึ่งในวันนี้นายเนตร นาคสุข ไม่มาชี้แจง
นายประยุทธ เพชรคุณ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา กล่าวว่า การสั่งไม่ฟ้องของนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุดครั้งนี้ มีอำนาจตามกฎหมาย ซึ่งเหตุผลที่สั่งไม่ฟ้องเป็นไปตามพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งนายวรยุทธมีการร้องขอความเป็นธรรมอยู่หลายครั้ง รวมถึงการร้องต่อ สนช. ทำให้มีพยานยืนยันสอดคล้องตรงกันว่าความเร็วรถของนายวรยุทธไม่ถึง 80 กม./ชม. รวมทั้ง นายจารุชาติ มาดทอง โดยเฉพาะ ผลการคำนวณ นายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ประกอบกับตำรวจพิสูจน์หลักฐานที่ตรวจวัดความเร็วครั้งแรกว่า 177 กม./ชม. มายอมรับในการสอบสวนเพิ่มเติมว่ามีการตรวจวัดความเร็วคลาดเคลื่อน และยืนยันว่าความเห็นของดร.สธนวิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ไปร่วมคำนวณความเร็วในที่เกิดเหตุและระบุความเร็วที่ 177/ชม. ไม่มีอยู่ในสำนวนอย่างแน่นอน เพราะหากอยู่ อัยการไม่มีเหตุผลที่จะไม่สั่งฟ้อง
ด้านนายปรเมศวร์ กล่าวว่า จากการตรวจสำนวนทั้งหมดตามข้อเท็จจริงอัยการเชื่อว่า ที่ว่าการชนมีการลากศพไป 200 เมตร นั้นไม่เป็นความจริง แต่ศพกระเด็นบนรถ แล้วรถยังไปต่อก่อนรถจะล้มลง ส่วนข้อมูลความเร็ว 177 กม./ชม. แต่แรกนั้นไม่มีผลการคำนวณยืนยัน เป็นเพียงเอกสารแผ่นเดียว ส่วนข้อเสนอจากการพิจารณาของกรรมาธิการ สนช. นั้นยอมรับว่าอัยการต้องรับฟังเพราะถือเป็นผู้แทนของประชาชน
พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่มีคำสั่งฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยาหรือบอส กล่าวว่า โดยคำสั่งของผบ.ตร.กำหนดกรอบเวลาทำงาน 15 วันซึ่งภายในสัปดาห์หน้าจะครบ ทางคณะกรรมการจะรวบรวมข้อเท็จจริงในส่วนของตำรวจ โดยมีการวางกรอบ การทำงานเอาไว้แล้วรวมถึงขั้นตอนที่ไม่เห็นแย้งของผู้ช่วยผบตร. กรณีอัยการไม่ฟ้องคดีนี้ด้วย ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และอยู่ระหว่างการสอบสวน ดังนั้นภายในสัปดาห์หน้าน่าจะสามารถชี้แจงให้พี่น้องประชาชนผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ
นายสายประสิทธิ์ กล่าวยืนยันว่า เป็นการคำนวณตามหลักการ ทางวิชาการ โดยวิเคราะห์จากภาพที่เกิดขึ้น ตรวจสอบความเร็วจากหน้าปัดนาฬิกาที่โชว์บนคลิป และใช้สูตรปกติคือ ระยะทางหาด้วยเวลา แต่ภาพที่ได้มาเป็นลักษณะมุมเฉียงและเกิดขึ้นหลายปี ที่สำคัญการคำนวณความเร็วจากภาพก็ไม่ได้ยืนยันความเร็วที่เกิดขึ้นจริง อยู่บนสมมติฐานและความเร็วในการถ่ายภาพเฟรม 25 เฟรม ก็ไม่ได้ยืนยันความเร็วของรถที่แท้จริง ซึ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ เวลาคำนวณการใช้ถุงลมนิรภัยจะใช้กล้องความเร็วสูงประมาณ 500 เฟรมต่อวินาที ดังนั้น สมมติฐานที่เกิดขึ้นเป็นการทำตาม หลักการ และจะใช้หรือไม่ขึ้นอยู่ดุลพินิจของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ด้านนายฤชา กล่าวว่า การสั่งคดีสั่งดำเนินการในฐานะพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน โดยสั่งฟ้อง 4 ข้อหา ซึ่งข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ข้อหานี้พบการตรวจความเร็วจากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งบริเวณที่เกิดเหตุและในความเห็นส่วนตัวของตนนอกจากการคำนวนความเร็วจากกล้องวงจรปิด ซึ่งเป็นพยานทางนิติวิทยาศาสตร์แล้ว ในฐานะที่เป็นอาจาย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ผู้ช่วยจะสอนน้องๆ เสมอว่า บางครั้งพยานนิติวิทยาศาสตร์ไม่จำเป็น 100 % ถ้าเราวินิจฉัยได้จากพยานวัตถุ ที่โกหกไม่ได้ หรือบิดเพี้ยนไม่ได้
"กรณีนี้ดูกระจกหน้ารถยนต์ของผู้ต้องหาว่าแตกเป็นใยแมงมุมละเอียด ดูความเสียหายของรถและสภาพศพของผู้ตายหลังเกิดเหตุว่าน่าเชื่อว่าขณะเกิดเหตุนายวรยุทธ ขับรถด้วยความเร็วสูงมาก ในฐานะส่วนตัวความจริงพยานนิติวิทยาศาสตร์กรณีนี้บางครั้งอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องนำมาใช้ในกรณีนี้เลย เพราะขับรถด้วยความเร็วสูงก็เป็นการประมาทแล้ว"นายฤชา กล่าว
อย่างไรก็ตามนายฤชา ไกรฤกษ์ อธิบดีอัยการ เจ้าของสำนวนปฏิเสธที่จะชี้แจงในประเด็นที่ก้าวล่วงดุลพินิจของพนักงานอัยการท่านอื่นหลังจากรับสำนวนต่อเพราะเกรงว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงองค์กร"
ด้านนายสายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นข้อหายาเสพติด หลักการทำงานเมื่อรับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนเราจะพิจารณาข้อกล่าวหาจากที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดี ข้อหาโคเคนไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหามาและเมื่อฟังคำชี้แจงพบว่า ผลการตรวจร่างกายไม่ได้พบสารโคเคนโดยตรง แต่พบสาร 2 ตัว ที่สามารถเกิดขึ้นได้จาก 2 กรณีคือ การเสพโคเคนร่วมกับดื่มสุรา และอีกเหตุผลที่มีความเป็นไปได้ผลดังกล่าวเป็นผลลวง จากการกินยาแก้อักเสบ เพราะตามข้อเท็จจริงพบว่านายวรยุทธ ได้เข้ารักษาอาการครอบฟันเลื่อนก่อนเกิดเหตุ และแพทย์ได้ยืนยันว่าจ่ายยาแก้อักเสบให้นายวรยุทธจริง เมื่อประมวลแล้ว ไม่กล้าแนะนำให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีโคเคน เพราะหลักฐานไม่แน่น
อย่างไรก็ตาม นายปรเมศวร์ ระบุว่าสัปดาห์หน้าจะส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ ส่วนระยะเวลาจะช้าหรือเร็วอย่างไรให้ขึ้นอยู่กับทางตำรวจ
ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะกมธ. กล่าวว่า คดีนี้มีสิ่งผิดปกติไปจากแบบแผนของการทำคดี การสอบสวนและการติดตามตัวผู้ต้องหาหลายอย่าง ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติก็ถือเป็นคดีที่ธรรมดามาก โดยเฉพาะความผิดปกติของพยานหลักฐานและพยานบุคคล โดยพยานบุคคลนั้นไม่เคยมีใครออกมาพูดว่าแต่ละคนมีที่มาที่ไปอย่างไร หรือรู้เห็นในเหตุการณ์ตรงนั้นจริงหรือไม่ มีแต่พูดคำบอกเล่าของพยาน ซึ่งในวิชาชีพกฎหมายนั้นฟังไม่ได้ แต่คดีนี้กลายเป็นว่าคนที่ต้องชี้แจงถูกโอบอุ้มไว้ไม่ให้พูดกับใคร
ทั้งนี้ ประเด็นหลักอยู่ที่พนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการที่ใช้ดุลยพินิจในการสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง ไม่มีใครตอบได้นอกจากคนทำ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องออกมาชี้แจงเองว่าเหตุผลที่สั่งเพราะอะไร หากผิดก็ต้องรับผิดส่วนตัว แต่กลับเอาองค์กรของตัวเองผ่านคนอื่นมาชี้แจง สรุปแล้วขณะนี้สังคมกำลังถูกคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ดุลยพินิจ มาอธิบายสิ่งที่คนอื่นทำ ส่วนคนที่ทำไม่ต้องพูด ตนถามว่ามันปกติหรือไม่
“ผมสงสัยว่าเพราะอะไรทั้ง 2 องค์กรถึงพร้อมใจกัน เอาชื่อเสียงเกียรติยศกระบวนการยุติธรรมของประเทศ มาเสี่ยงกับคนเพียงแค่ 2 คน แทนที่จะให้คน 2 สองคนที่วินิจฉัยคดีนี้มาชี้แจงกับสังคมเอง เพราะต้องเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือแต่ละองค์กรกลับให้คนนั้นคนนี้มาอธิบายเหตุผลแทน ในฐานะคนในวิชาชีพกฏหมาย ผมขอเถอะ อย่าทำให้สถาบันยุติธรรมของเราเสียหายไปมากกว่านี้ เอาเกียรติยศของผู้รักษากระบวนการยุติธรรมออกมา ใครผิดให้เขาผิดไป ใครถูกให้เขาชี้แจงเอง ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะเอาความเห็นส่วนตัวมาชี้แจงแทนคนอื่น” นายพีระพันธุ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมกมธ.กฎหมายฯ มีมติร่วมกันว่าจะส่งหนังสือเชิญบุคลเข้าชี้แจงต่อกมธ.อีกครั้ง อาทิ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผบ.ตร. นายธานี อ่อนละเอียด สมาชิกวุฒิสภา และอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สนช. และนายวรยุทธ อยู่วิทยา เป็นต้น
ขณะที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมกมธ.วันนี้ บุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงไม่มีใครมาชี้แจงต่อกมธ. ทำให้ยังมีประเด็นที่กมธ.ยังสงสัย ไม่สามารถตอบคำถามสังคมได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจน และการพิจารณาเป็นไปด้วยความรวดเร็ว จำเป็นต้องเชิญตัวจริงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีโดยตรงทั้งอัยการและตำรวจมาชี้แจง ได้แก่ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ที่ไม่สั่งฟ้องคดีนายวรยุทธ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ผู้ช่วยผบ.ตร. ที่ไม่แย้งอัยการที่ไม่สั่งฟ้อง นายธานี อ่อนละเอียด ส.ว. อดีตกมธ.กฎหมาย สภานิติบัญญํติแห่งชาติ(สนช.) นายสมัคร เชาวภานันท์ ทนายความนายวรยุทธ แพทย์ที่ตรวจผลเลือดและแอลกอฮอล์นายวรยุทธ รวมถึงจะเชิญนายวรยุทธต้องมาชี้แจงต่อกมธ.ด้วย บุคคลเหล่านี้ต้องมาชี้แจงต่อกมธ.ในวันที่ 13 ส.ค 63 ถ้าไม่มาจะใช้อำนาจออกพ.ร.บ.คำสั่งเรียกให้มาชี้แจงต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี