กลุ่มอาชีวะประกาศจุดยืน
ปกป้องสถาบัน
ชุมนุมแน่นหน้ารัฐสภา
จี้สอบเอาผิดนักการเมือง
ปลุกปั่นเยาวชนป่วนชาติ
ม็อบ‘ครช.’ชงโละทิ้งรธน.
ร่างใหม่ฉบับปชช.แท้จริง
กลุ่มนักศึกษาอาชีวะ“ศอปส.” พรึ่บหน้ารัฐสภา พร้อมชนจาบจ้วงสถาบัน ล็อกเป้าเจอที่ไหนจัดการเอง หากเจ้าหน้าที่ยังเพิกเฉยย้ำยึดหลักอหิงสา-สันติวิธียื่นปธ.สภาสอบลงโทษ นักการเมืองเบื้องหลังปลุกปั่นเยาวชน จนหลงผิด สร้างวาทกรรมเกลียดชัง ด้านม็อบ’ครช.’ยื่นแก้รธน.ทั้งฉบับ“สุทิน”ย้ำเห็นตรงกัน แต่จะแก้อย่างไร ขึ้นอยู่กับ’ส.ส.ร.’พิจารณา‘สันติ’เรียกอนุกมธ.งบทุกคณะสอบ ปมรีด5ล้านกรมน้ำ
เมื่อวันที่ 10สิงหาคม กลุ่มคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน หรือครช.นำโดย นายอนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เดินทางมาบริเวณหน้ารัฐสภา เพื่อยื่นร่างพ.ร.บ.ประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมี ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านนำโดย นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน เป็นตัวแทนมารับหนังสือ โดย นายอนุสรณ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญจะต้องเขียนใหม่เท่านั้น ไม่ใช่การแก้ไข แม้หลายภาคส่วนจะสนับสนุนแก้รัฐธรรมนูญ แต่พบว่า เป็นการสนับสนุนให้แก้ไขรายมาตรา ทั้งที่ควรต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับและทำประชามติใหม่ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นเขียนรัฐธรรมนูญใหม่สำหรับประชาชนอย่างแท้จริง
สุทินหนุนครช.แก้รธน.ทั้งฉบับ
ด้าน นายสุทิน กล่าวว่า พรรคฝ่ายค้านคิดเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกับ ครช.และรัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหาและเหนี่ยวรั้งการพัฒนาประเทศ ส่วนร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่แก้ไขนั้น พรรคเพื่อไทย (พท.) ร่างเสร็จเรียบร้อยแล้วและพร้อมที่จะยื่นในวันที่ 17สิงหาคมนี้ เดี๋ยวก็มีความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่จะแก้ไขอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ทั้งนี้ กลุ่ม ครช.ได้ทำกิจกรรมเปิดประเด็นการยื่นร่าง พ.ร.บ.ประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแสดงละครเงียบล้อการเมือง การแสดงฉ่อยล้อการเมือง และการแสดงเผากงเต๊กส่งรัฐธรรมนูญกลับไปให้ท่านใช้เอง ซึ่งกงเต๊กที่กลุ่มจัดนำมา มีทั้งเครื่องบิน จรวดยุทโธปกรณ์ รถถัง กระดาษเงิน กระดาษทอง
ขณะที่บรรยากาศการรักษาความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 200นาย วางกำลังรอบหน้ารัฐสภา มีอุปกรณ์คุมมวลชนและรถควบคุมผู้ต้องขังมารอ กรณีเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย หรือมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น นอกจากนี้ บริเวณหน้ารัฐสภามีการกั้นพื้นที่ให้กับผู้ชุมนุมให้ห่างจากรัฐสภา 50เมตร ตาม พรบ.ชุมนุมสาธารณะและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนล้อมบริเวณกั้นพื้นที่เอาไว้ เพื่อรักษาความปลอดภัย
กลุ่มอาชีวะรวมตัวสภาป้องสถาบัน
เวลา 10.10น.กลุ่มศูนย์กลางประสานงานนักศึกษา อาชีวะ ประชาชน ปกป้องสถาบันฯ(ศอปส.) ประมาณ 70คน นำโดย นายสุเมธ ตระกูลวุ้นหนู อดีตหัวหน้าการ์ด กปปส.ในฐานะผู้ประสานงาน ศอปส. ได้นัดรวมตัวแสดงจุดยืนปกป้องสถาบันหลักของชาติ เคลื่อนขบวนเดินเท้ามายังด้านหน้าทางเข้าอาคารรัฐสภา เพื่ออ่านแถลงการณ์และยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฏร ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดแนวถนนเกียกกาย โดยนำแผงเหล็กมากั้นขวางให้ปักหลักอยู่บริเวณป้ายรถเมล์ก่อนถึงรัฐสภา เพื่อป้องกันความปลอดภัย รวมถึงลดการเผชิญหน้ากับกลุ่มคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญ(ครช.) ที่มาทำกิจกรรมบริเวณหน้ารัฐสภาเช่นกัน
ซัดปลุกปั่นเยาวชน-ละเมิดสถาบัน
ต่อมา นายสุเมธ ได้อ่านแถลงการณ์ ศอปส.ฉบับที่1ระบุว่า เนี่องจากห้วงระยะเวลา4เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลและประชาชนชาวไทยกำลังเผชิญภัยคุกคามจากไวรัสโควิดและปัญหาทางเศรษฐกิจที่จะติดตามมาอีก ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่คนไทยทั้งหมดต้องรู้รักสามัคคีเพื่อนำพาประทศชาติให้พ้นภัยร้ายเหล่านี้ แตกลับมีบุคคลกลุ่มหนึ่งยุยงให้เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะออกมาเคลื่อนไหวโจมตีทหารและรัฐบาล โดยนำสถาบันพระมหากษัตริย์เข้าไปเกี่ยวของ การกระทำแบบนี้นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น ถึงขนาดจะล้มล้างระบอบการปกครองและล้มล้างวัฒนธรรม ยุยงให้เกิดความแตกแยกขึ้นระหว่างเยาวชนกับพ่อแม่และครูบาอาจารย์
พฤติกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมชาวไทย
จี้เอาผิดนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง
จากนั้น ศอปส.ได้ยื่นหนังสือต่อประธานสภา เพื่อขอให้รัฐสภาปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงป็นประมุข โดยมี นายแทนคุณ จิตต์อิสระ คณะทำงานประธานสภาฯ เป็นตัวแทนมารับหนังสือ โดยเนื้อหาในหนังสือระบุโดยสรุปว่า เจตนาของกลุ่มผู้มาชุมนุม โจมตีรัฐบาลและมีการกล่าวร้ายต่อสถาบันนั้น มีกลุ่มการเมืองที่มีเจตนาไม่ดีต่อสถาบันอยู่เบื้องหลังการชุมนุม มีการส่งชุดความคิดที่ไม่ถูกต้องแก่เยาวชน ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง กลุ่มการเมืองพยายามสร้างวาทกรรมแบ่งแยกเป็นฝ่ายประชาธิปไตย และฝ่ายเผด็จการ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด รวมถึงแบ่งแยกประชาธิปไตยออกจากสถาบัน ศปอส.ได้เสนอให้รัฐสภาเร่งดำเนินการควบคุมกลุ่มการเมืองที่ปลุกปั่น อย่าให้ดำเนินการเช่นนี้อีกและตรวจสอบจริยธรรมของนักการเมืองเหล่านี้ พร้อมลงโทษตามรัฐธรรมนูญ
ล็อกเป้าทุกคน-ไม่ใช้ความรุนแรง
นายสุเมธ กล่าวด้วยว่า เรารับไม่ได้และอยู่เฉยต่อเรื่องนี้ไม่ได้ เราจะจับตาทุกคนที่จาบจ้วง จะล็อคเป้าทุกคน แต่จะใช้วิธีการเจรจาให้รู้ว่า แผ่นดินนี้อยู่รอดปลอดภัยเพราะสถาบัน ยืนยันว่าเราจะใช้วิธีอหิงสา และเราไม่นิยมใช้ความรุนแรง แต่ถ้ามีภัยมาถึงตามสัญชาตญาณมนุษย์ จะต้องมีการป้องกันตัว
ขณะที่ตัวแทนอาชีวะรายหนึ่ง กล่าวว่า คำพูดพวกตนไม่สวยหรู แต่มาจากใจไม่มีบทสคริปต์ ไม่เหมือนกับทนายชั่วบางคน ยืนยันว่าหากพบบุคคลใดที่จาบจ้วงไม่ว่าจะที่ใดทุกที่ พวกตนจะไม่เกรงใจ และไม่ไว้หน้าต่อไป ในเมื่อถ้าเจ้าหน้าที่ยังไม่ดำเนินการ พวกตนก็จำเป็นต้องดำเนินการ
ด้าน นายแทนคุณ กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้เสนอต่อประธานสภาฯต่อไป ยืนยันว่าเราจะพิจารณาข้อเสนอของทุกฝ่าย ไม่มีการแบ่งแยก ซึ่งตนต้องขอบคุณทางกลุ่ม ศอปส.ที่เคลื่อนไหวชุมนุมครั้งนี้แบบสงบ สันติวิธีและแสดงออกถึงบุคคลที่กระทำผิดกฎหมาย ทางสภาฯจะใช้กลไกให้เกิดประโยชน์สูงสุด
จากนั้นเวลา 11.05น.กลุ่ม ศอปส.ได้รวมตัวกันร้องเพลงชาติไทยและเพลงสรรเสริญพระบารมี ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ โดยไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายใดๆเกิดขึ้น
พุทธิพงษ์ยันกปปส.พร้อมออกโรง
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ให้สัมภาษณ์กรณีการชุมนุมหน้ารัฐสภาของม็อบ 2กลุ่ม ระหว่างม็อบที่มีอดีตแกนนำ กปปส.กับกลุ่มคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างในทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ แต่อยากเตือนการสื่อสารในโซเชียลมีเดีย อยากจะให้ระมัดระวัง ซึ่งตนได้ติดตามอย่างใกล้ชิด บางข้อมูลบิดเบือนความจริงจนทำให้มีคนเข้าใจผิดและอาจทำให้รู้สึกโกรธ สับสน ไม่เข้าใจ ยืนยันว่าความเห็นต่างเป็นสิ่งปกติในระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องระมัดระวังการละเมิดสิทธิคนอื่นและสถาบันหลักของประเทศ
เมื่อถามว่า หากมีเรื่องที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นในบ้านเมือง กปปส.พร้อมที่จะออกมาอีกหรือไม่ นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้อยู่ในความรู้สึกของทุกคน หากมีอะไรที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นก็คงจะมีคนออกมาเสมอ ไม่ว่าจะมาจากฝั่งไหน ตนเป็นคนหนึ่งที่เคยออกมาเคลื่อนไหว อยากจะเตือนไปถึงน้องๆว่า การออกมาชุมนุมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียคือ เกิดการสูญเสียเกิดขึ้นและหลังการชุมนุมทุกครั้งจะมีการดำเนินคดี ขึ้นโรงขึ้นศาล ไม่ว่าจะผิดหรือถูก ต้องใช้เวลานานมากกว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย ตนคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ อยากให้น้องๆทุกคนที่ออกมาได้ระมัดระวัง นอกจากนี้ ยังเสียเวลาและเสียโอกาส
คำนูณชงบิ๊กตู่ถก2สภาหาทางออก
นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา(สว.) กล่าวว่า ตนขอเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมวงกลาโหม พิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา165 เปิดประชุมรัฐสภาเพื่ออภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ เพื่อหารือทางออกปัญหาทางการเมือง หากทำได้เร็ว ก็จะยิ่งเกิดผลดี เพราะใกล้จะปิดสมัยประชุมแล้วและทุกคนไม่ต้องการเห็นการเมืองกลับไปยังจุดเดิม เช่นเดียวกับเหตุการณ์ 14ตุลาคม16 , 6 ตุลาคม 19 เกิดการบาดเจ็บล้มตายกลายเป็นบาดแผลร้าวลึกในสังคม ซึ่งในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯเคยดำเนินการมาแล้ว ช่วงเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองปี2552-2553และสามารถพิจารณาตั้งกรรมาธิการร่วมของ 2สภาในการหาทางออกสำหรับปัญหาการเมืองในระยะเวลาที่จำกัด
‘สันติ’เรียกอนุสอบรีด5ล้านกรมน้ำ
วันเดียวกัน นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 กล่าวถึงกรณีอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลระบุว่า มีอนุกรรมาธิการแผนบูรณาการ2 เรียกเงิน 5ล้านบาท ว่า กมธ.งบฯจะเรียกอนุกรรมาธิการชุดดังกล่าวเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงก่อนพิจารณาว่า จะตั้งกรรมการสอบเรื่องนี้หรือไม่ แต่ส่วนตัวขอชี้แจงว่า คณะอนุกรรมาธิการฯไม่มีอำนาจตัดลดงบประมาณและไม่ใช่แหล่งผลประโยชน์ มีเพียงหน้าที่ตรวจสอบความเหมาะสมการจัดสรรงบประมาณของแต่ละหน่วยงานเพื่อเสนอ กมธ.งบฯชุดใหญ่เ ดังนั้นอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดจึงอยู่ที่ กมธ.งบฯชุดใหญ่เและจะเริ่มปรับลดงบประมาณในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ ในการพิจารณาของ กมธ.งบฯชุดใหญ่ จึงไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่หน่วยงานต้องเอาใจอนุกรรมาธิการฯ
เมื่อถามว่า จะให้ความมั่นใจได้อย่างไรว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ใน กมธ.งบฯชุดใหญ่ นายสันติ กล่าวยืนยันว่า การพิจารณาในชั้นกมธ.งบฯชุดใหญ่ มีการเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายร่วมกันแสดงความคิดเห็น และมีการถ่ายทอดสดการประชุมทุกครั้ง ตั้งแต่ประชุมมายังไม่เคยมีการประชุมลับ จึงมั่นใจว่า การพิจารณาเป็นไปอย่างโปร่งใส เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์เป็นภาษีของประชาชน กมธ.ฯต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าไม่ได้มีแค่คณะอนุกรรมาธิการฯชุดนี้แค่ชุดเดียวที่มีการเรียกเงินนั้น นายสันติ กล่าวว่า จะเชิญอนุกมธ.ฯทุกคณะมาสอบเช่นกัน
‘แนน’ปัดเอี่ยว-จี้กมธ.ชุดใหญ่แจง
ด้าน น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการแผนบูรณาการ2 กล่าวยืนยันว่า ตนไม่มีส่วนรู้เห็น ตนทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมตลอดทั้งวัน แต่เมื่อถึงช่วงที่เป็นปัญหานั้น เสียงในที่ประชุมดังมาก จึงไม่แน่ใจว่า อธิบดีพูดเรื่องถูกเรียกรับเงิน 5 ล้านบาทจริงหรือไม่ ในฐานะที่ตนเป็นประธานอนุกรรมาธิการฯ จะขอให้ที่ประชุม กมธ.งบฯชุดใหญ่ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เนื่องจากต้องการให้เกิดความโปร่งใส เพราะหากให้อนุกรรมาธิการฯเป็นคนตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเอง เกรงว่าสังคมจะไม่เชื่อถือ ส่วนรายละเอียดและข้อเท็จจริง ขอให้รอกมธ.งบฯชุดใหญ่ เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบถามรายละเอียดและให้ กมธ.งบฯชุดใหญ่เป็นผู้ตัดสินใจว่าเรื่องดังกล่าวจะส่งให้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯตั้งกรรมการสอบหรือไม่ เพราะหากให้ กมธ.งบฯชุดใหญ่เป็นผู้ตรวจสอบก็จะดูเหมือนว่า ตรวจสอบกันเอง
‘ชวน’สั่งติดตามหาข้อเท็จจริง
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้สัมภาษณ์กรณี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว. ขอให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีมี สส.ในชั้นอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี พ.ศ. 2564 เรียกรับผลประโยชน์แลกกับการไม่ตัดงบประมาณว่า หนังสือยังมาไม่ถึง แต่ได้สั่งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรติดตามในเรื่องนี้แล้ว เนื่องจากเรื่องนี้อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเป็นผู้ที่เปิดเผยข้อมูล จึงไม่ควรละเลยในเรื่องนี้ ขณะเดียวกันก็ต้องรอรายงานชี้แจงข้อเท็จจริงจากคณะกมธ.ชุดดังกล่าวด้วย ซึ่งนอกเหนือจากที่เป็นข่าวยังไม่มีรายงานมาจากกมธ.ซึ่งกมธ.ชุดนี้ต้องสอบในข้อเท็จจริงและรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี