"นายกฯ"เปิดงานนำร่องใช้ยางพาราเพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน "ทช."เล็งแปลงงบเหลือจ่ายผลิตแท่งคอนกรีต ขณะที่"ทล."เตรียมเดินหน้าอัดงบ3ล้าน นำร่องเส้นทางเชื่อมเขาคิชฌกูฏ ก่อนขยายไป"สตูล-บึงกาฬ"
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการนำร่องการนำยางพารา มาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน (Kick Off) จังหวัดจันทบุรี โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกษตรกรชาวสวนยางพาราจำนวนมาก เข้าร่วมในพิธีเปิด
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าได้รับทราบแนวทางการนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยดังกล่าว โดยใช้ "แผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต" (Rubber Fender Barrier : RFB) และ "หลักนำทางยางธรรมชาติ" (Rubber Guide Post : RGP) โดยมุ่งเน้นให้ใช้ยางพาราเป็นวัสดุในการปรับปรุง ก่อสร้าง เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำยางพาราในประเทศ และสร้างสมดุลราคายางพาราให้เหมาะสม และเพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนในการเดินทางมากขึ้น ช่วยลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุทางถนนและในขณะเดียวกันก็ยังช่วยสร้างความมั่งคั่ง สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรโดยตรงให้มีสัดส่วนที่มากขึ้น
ด้าน นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลที่มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของพี่น้องประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการนำยางพารามาใช้เป็นอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยทางถนน รวมทั้งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพาราให้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นสร้างเสถียรภาพราคายางพาราอย่างยั่งยืน ทาง ทช.จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ได้มีการศึกษาและวิจัยพบว่ามี 2 ผลิตภัณฑ์ ที่มีความเหมาะสม กับการใช้ยางพาราเป็นส่วนผสมจำนวนมาก สามารถลดความรุนแรงของการชนปะทะได้ คือ "แผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต" (Rubber Fender Barrier : RFB) และ "หลักนำทางยางธรรมชาติ" (Rubber Guide Post : RGP)
ทั้งนี้ ในส่วนแผนการดำเนินการในปี 2563 ทาง ทช.จะนำงบประมาณจากการเปลี่ยนแปลงงบประมาณในส่วนของการจัดซื้อแอสฟัลต์ซีเมนต์ปรับปรุงคุณภาพด้วยยางธรรมชาติ (Natural Rubber Modified Asphalt Cement) หรือ พาราเอซี ให้เหลือแค่แอสฟัลต์คอนกรีต (Asphalt Concrete) หรือ เอซี วงเงินประมาณ 300 ล้านบาท และงบเหลือจากการเบิกจ่ายมาผลิตแท่งคอนกรีตก่อน ใช้บนถนนที่มีเกาะสี ระยะทางประมาณ 100 กม. ใน 15 จังหวัด 16 เส้นทาง และจากนั้นในปี 2564 จะจัดสรรงบฯ เพื่อซื้อแผ่นยางหุ้มครอบคอนกรีตอีกครั้ง ในส่วนของเสาหลักนำทางยางพารานั้น ในปีนี้ จะดำเนินการจำนวน 200,000 ต้น ขณะที่ งบกลางฯ ตามที่ ครม.มีมติอนุมัตินั้น จะต้องไปประสานกับสำนักงบประมาณอีกครั้งว่าจะนำมาดำเนินการอย่างไรต่อไป อย่างไรก็ตาม ทช.จะใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาจากด้านความปลอดภัย ปริมาณการจราจร รวมถึงความพร้อมของเส้นทางเป็นหลัก
นอกจากนี้ นโยบายของรัฐบาลที่มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของพี่น้องประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการนำยางพารามาใช้เป็นอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยทางถนน รวมทั้งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพาราให้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นสร้างเสถียรภาพราคายางพาราอย่างยั่งยืน ทช.จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ได้มีการศึกษาและวิจัยพบว่ามี 2 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ที่มีความเหมาะสม กับการใช้ยางพาราเป็นส่วนผสมจำนวนมาก สามารถลดความรุนแรงของการชนปะทะได้ สำหรับแผนการดำเนินโครงการดังกล่าว ระยะ 3 ปี (ปีงบประมาณ 2563-2565) แผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต และหลักนำทางยางธรรมชาติ จะนำมาใช้ถนนของ ทล. และ ทช. กว่า 12,000 กม. วงเงินประมาณ 85,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ถนนของ ทล.11,000 กว่ากม. และถนน ทช. 1,000 กว่า กม. และหลักนำทางยางธรรมชาติ 1,063,651 ต้น
ส่วน นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ทาง ทล.ได้นำร่องนำยางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยการใช้ "แผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต" (Rubber Fender Barrier : RFB) มาติดตั้งบนถนน ทางหลวงหมายเลข 3249 ตอนเขาไร่ยา-แพร่งขาหยั่ง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี หรือถนนบำราศนราดูร จันทบุรี-เขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ช่วงก่อนถึงโค้งวัดชำโสม ขนาด 4 ช่องจราจร ไป-กลับ เป็นเกาะสี ระยะทาง 400 เมตร วงเงินประมาณ 2-3 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย และเพิ่มการผลิตให้กับชาวสวนยางด้วย และตามแผนงานของ ทล. ในปี 2563 ระยะแรกนั้น มีแผนที่จะใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต บริเวณถนนที่ทีเกาะสี และเกาะร่อง ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร จากถนนที่มีอยู่ในแผน 3 ปี (2563-2565) รวมระยะทาง 1,029 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม หลังจากการนำร่องที่จังหวัดจันทบุรีในวันนี้ จะขยายดำเนินการไปที่จังหวัดสตูล และจังหวัดบึงกาฟต่อไป เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งผลิตยางพาราที่สำคัญ
ทั้งนี้ เส้นทางถนน ทางหลวงหมายเลข 3249 ที่ ทล.นำร่องใช้ RFB ดังกล่าวนั้น มีความพร้อมมากที่สุด เนื่องจากได้รับความร่วมมือจากสหกรณ์ชาวสวนยาง จงหวัดจันทบุรี และถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยเส้นทางดังกล่าวนั้น มีประชาชนสัญจรเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นเส้นทางเชื่อมการท่องเที่ยวไปยังเขาคิชฌกูฏ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ซึ่งในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางจำนวนมาก ประกอบกับเป็นทางโค้ง และมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ส่งผลให้รถวิ่งข้ามเลน นำไปสู่ความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน
รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุว่าแนวทางการดำเนินการของ ทล. นั้น ภายหลังจากการได้รับการจัดสรรงบประมาณ จะไปซื้อผลิตภัณฑ์ยางพาราตรงกับชุมนุมสหกรณ์ โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ขณะเดียวกัน จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่จังหวัดระยองในวันนี้นั้น ที่ประชุม ครม. ยังได้มีมติอนุมัติงบกลางประจำปี 2563-2564 วงเงิน 2,700 ล้านบาท เพื่อในการผลิต RFB และหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) พร้อมนำมาใช้บนถนนของ ทล. วงเงิน 1,700 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) วงเงิน 1,000 ล้านบาท
ขณะที่รายงานข่าวจาก ทล. ระบุว่า ตามแผนงานในปี 2563 ทล. มีความต้องการใช้เสาหลักนำทาง จำนวน 89,000 - 90,000 ต้น ซึ่งต้องผลิตให้แล้วเสร็จภายใน ก.ย. 2563 ขณะที่แผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีตจะดำเนินการบนถนน 19 สายทาง 26 ช่วง ใน 13 จังหวัด เบื้องต้นจะดำเนินการบนถนนที่เป็นเกาะสี และถนนที่มีเกาะเป็นร่องกลาง เน้นเลือกเส้นทางที่มีสถิติอุบัติเหตุสูง รวมถึงดำเนินการเกาะกลางถนนที่เป็นเกาะยก ที่มีสภาพความไม่ปลอดภัย เพื่อป้องกันอันตรายรถเสียหลัก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี