‘พีระพันธุ์’ ยกคณะส่งรายงานผลการศึกษาแก้ไขรธน. ถึงมือ ‘ประธานสภา’ แล้ว คาดบรรจุวาระไม่เกิน10 ก.ย.นี้ชี้ช่องเลื่อนพิจารณาทันทีได้ ด้าน ‘ไพบูลย์’ หวัง ส.ส.ร.นำไปขยายผลเกิดประโยชน์
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 31 สิงหาคม 2563 ที่รัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ประธานคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณา ศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์และ แนวทางการ แก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 พร้อมคณะ ส่งมอบรายงานผลการศึกษาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร
นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า รายงานของคณะกรรมาธิการฯ เป็นการศึกษาเชิงวิชาการ ที่ได้รวบรวมความคิดเห็นทั้ง 2 ด้าน เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้ที่จะร่างนำไปศึกษา ส่วนผู้ที่จะร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะนำข้อมูลผลการศึกษาไปพิจารณาประกอบหรือไม่นั้น ไม่สามารถตอบได้ เพราะไม่มีบทบังคับ แต่หากนำข้อมูลไปศึกษาก็จะได้ข้อมูลที่เป็นกลาง เพราะในรายงานมีเหตุผลไว้ทั้งหมดแล้ว ส่วนโครงสร้างสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ในกรรมาธิการไม่ได้มีการศึกษา แต่ได้แนบรายละเอียดของโครงสร้างที่เสนอทั้งจากภาคส่วนต่างๆ
ขณะที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานคณะอนุกรรมาธิการวิเคราะห์ศึกษาบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า รายงานฉบับนี้มีการศึกษาอย่างละเอียด ส่วนการศึกษาหมวด 15 เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และวิธีตั้ง ส.ส.ร. และมีรายงานร่างแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เสนอโดยกรรมาธิการบางคน และมีผลศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายการเลือกตั้งทั้ง 4 ฉบับ ยอมรับมีประเด็นแก้ไขจำนวนมากและจะมีการดำเนินการเรื่องนี้หลังรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรแล้วเสร็จ ซึ่งรายงานผลการศึกษาจะเผยแพร่ในเว็บไซต์ของกรรมาธิการในวันนี้ และหวังว่า ส.ส.ร.ที่จะเกิดขึ้นจะนำรายงานผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์
ส่วนนายวัฒนา เมืองสุข กรรมาธิการในส่วนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการฟังเสียงประชาชน พบว่าประชาชนต้องการมีรัฐธรรมนูญของประชาชน เชื่อมั่นว่าการร่างรัฐธรรมนูญใหม่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง เพราะทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน คาดว่าหากทุกอย่างเป็นไปตาขั้นตอนในสิ้นปี 2564 จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขอให้ทุกคนทุกฝ่ายประคับประคองสถานการณ์ของประเทศ ให้เดินไปข้างหน้าเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามครรลอง เพื่อวางรากฐานสำคัญในระบอบประชาธิปไตย
ด้านนายโภคิน พลกุล กล่าวว่า หลังจากที่ ส.ส.ร.เดินหน้ายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐสภายังมีช่วงเวลาที่จะปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เกิดความเหมาะสมสมบูรณ์ต่อไป โดยขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจและเดินตามโรดแมปนี้ด้วยกัน
“ส่วนข้อเรียกร้องปิดสวิตช์ ส.ว. เป็นความเห็นที่หลากหลาย ส่วนจะทำได้หรือไม่อยู่ที่ระยะเวลาและความเห็นพ้องต้องกันของสังคม และเห็นว่าควรดำเนินการทีละประเด็น แต่ขอย้ำจุดยืนว่าการมี ส.ส.ร.ที่มาจากประชาชนมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ประชาชนตัดสินและเขียนกติกาใหม่ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของสังคม หลังเกิดความแตกแยกและปัญหาการเมืองมานานกว่า 15 ปี และจบด้วยรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เพราะอยากเห็นการเดินหน้าด้วยสันติวิธี และหากท้ายที่สุด ส.ส.ร. ร่างรัฐธรรมนูญออกมาอย่างไรทุกคนจะต้องยอมรับ แม้ว่าจะมีเนื้อหาเหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 2560 หรือปี 2540” นายโภคิน กล่าว
ส่วนนายนิกร จำนง กรรมาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า เชื่อว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สำเร็จตาม นโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ และเชื่อว่า คณะกรรมาธิการศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์และแนวทางการแก้ไขและธรรมนูญเป็นคีย์แมนคนสำคัญที่นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ
ด้านนายชวน กล่าวว่า วาระการประชุมสภาฯ ในวันที่ 9 ก.ย. นี้ จะเป็นการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ซึ่งรายงานผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการชุดนี้จะนำเข้าบรรจุในวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 10 ก.ย. นี้ ส่วนการพิจารณาจะเป็นไปตามลำดับวาระการประชุม แต่หากสมาชิกเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนและต้องการนำขึ้นมาพิจารณาก่อนก็สามารถเสนอในที่ประชุมสภาฯ เพื่อขอมติเลื่อนวาระนี้ขึ้นมาพิจารณาก่อนได้ อย่างไรก็ตาม หากการพิจารณาในวันดังกล่าวไม่แล้วเสร็จก็สามารถเพิ่มวันการประชุมสภาฯ ในวันที่ 11 ก.ย. นี้ เพื่อพิจารณาวาระนี้ต่อได้ ซึ่งคาดว่าจะมีผู้อภิปรายในวาระนี้เป็นจำนวนมาก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี