‘ปฏิรูปตำรวจ’ไม่เกิด! ‘คำนูณ’แฉ‘บทเร่งรัดกึ่งลงโทษ’ถูกฝ่าฝืน ตร.วนจุดเดิมโยกย้ายใช้‘แบ่งกอง’
1 กันยายน 2563 นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์เฟซบุ๊ก Kamnoon Sidhisamarn เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา มีเนื้อหาดังนี้
รัฐธรรมนูญมาตรา 260 วรรคสาม
ที่เสมือนถูกแก้ไปแล้วในทางปฏิบัติอย่างเงียบ ๆ
กับการปฏิรูปตำรวจที่ยังไม่เกิดขึ้น
___________
เค้าโครงเนื้อหาที่อภิปรายเรื่องปฏิรูปตำรวจเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 ประยุกต์จากข้อเขียนชิ้นนี้ให้กระชับกับเวลาที่ได้มา 15 นาทีครับ และเพิ่มเติมอีกบางส่วน
(ถ้าได้คลิปแล้วจะนำมาอัพเดทเพิ่มเติมครับ)
รัฐธรรมนูญ 2560 ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปตำรวจมากเป็นพิเศษ โดยแยกออกมาเป็นบทบังคับตามรัฐธรรมนูญ กำหนดทั้งเนื้อหาและกระบวนการไว้เป็นการเฉพาะ ชัดเจน ทั้งนี้โดยมี “บทเร่งรัดกึ่งลงโทษ” ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
ในกรณีนี้กำหนดแล้วเสร็จจึงคือวันที่ 6 เมษายน 2561
หนึ่งในหัวใจสำคัญของการปฏิรูปตำรวจตามรัฐธรรมนูญคือต้องการให้ “แก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจ” ให้เกิดประสิทธิภาพ มีหลักประกันว่าข้าราชการตำรวจจะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้าย และการพิจารณาบำเหน็จความชอบตามระบบคุณธรรมที่ชัดเจน โดยให้ประสานกันระหว่างอาวุโสกับความสามารถ
ถ้าดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในกำหนด ให้การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นไปโดยหลักอาวุโส !
“....ถ้าการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ ให้การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจดำเนินการตามหลักอาวุโสตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา”
นี่คือบทบัญญัติที่ปรากฎในมาตรา 260 วรรคสาม
ขออนุญาตตีความว่ามาตรา 260 วรรคสามนี้ว่าเป็นเสมือน...
บทเร่งรัดกึ่งลงโทษ !
ทำให้ผมอ่านมาตรานี้ว่าประโยค “...ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด” นั้นอยู่ข้างหลังคำ “หลักอาวุโส” ทำหน้าที่ขยายคำ “หลักอาวุโส” จึงต้องตีความว่าเป็นหลักเกณฑ์ที่กำหนดเกี่ยวกับ “หลักอาวุโส” เท่านั้น ไม่ใช่หลักเกณฑ์ทั่วไปที่คณะรัฐมนตรีจะกำหนดได้โดยอิสระ
ที่ว่าเป็นบทเร่งรัดกึ่งลงโทษก็หมายความว่าถ้าดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายตำรวจไม่แล้วเสร็จ จะต้องให้การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นไปตามหลักอาวุโสอย่างเดียวเท่านั้น เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายโดยทั่วไปแล้วไม่อาจใช้หลักอาวุโสเพียงหลักเดียวได้ ต้องใช้หลักความรู้ความสามารถหรือหลักอื่น ๆ มาประกอบกันด้วย หากใช้หลักอาวุโสอย่างเดียวอาจเกิดผลเสียหายต่อการบริหารราชการแผ่นดินได้ ดังนั้นถ้าไม่ต้องให้การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นไปตามหลักอาวุโสอย่างเดียว ก็ให้เร่งตรากฎหมายตามมาตรา 258 ง. (4) ที่ระบุกฎเกณฑ์การแต่งตั้งให้แล้วเสร็จตามกำหนด
ถ้าอ่านและตีความอย่างผม ถึงอย่างไรก็เชื่อว่ารัฐบาลจะต้องดำเนินการให้กฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจนี้เสร็จโดยเร็ววัน หากจะช้ากว่ากำหนด ก็ไม่ควรนานนัก เพราะจะเสียหายแก่การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจอันเนื่องมาจากบทเร่งรัดกึ่งลงโทษที่ว่าได้
ปรากฎว่าผมประเมินผิด
หลังจากวันที่ 6 เมษายน 2561 ไม่นาน ในขณะที่รัฐบาลยังดำเนินการยกร่างกฎหมายตำรวจฉบับใหม่อยู่ในคณะกรรมการชุดที่ 2 ไม่แล้วเสร็จตามเงื่อนเวลาบังคับตามรัฐธรรมนูญ...
จู่ ๆ บทเร่งรัดกึ่งลงโทษที่ว่านี้ก็ไร้ผลในทางปฏิบัติ
การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจไม่ต้องใช้หลักอาวุโสอย่างเดียวตามบทเร่งรัดกึ่งลงโทษตามที่เกรงกัน แต่ใช้ “ระบบแบ่งกอง” เหมือนเดิมที่เคยปฏิบัติมา คือให้ใช้หลักอาวุโสร้อยละ 33 ของตำแหน่งที่ว่าง ส่วนที่เหลือไม่ต้อง
เสมือนรัฐธรรมนูญมาตรา 260 วรรคสามถูกแก้ไขไปแล้วแบบเงียบ ๆ !!
ทั้งนี้โดยผ่าน 2 ขั้นตอน
ขั้นตอนแรก มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจตามหลักอาวุโส ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 (ตามลิงก์ 2) โดยกำหนดให้มีผลย้อนหลังไปถึงตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2561 วันเส้นตายของบทเร่งรัดกึ่งลงโทษ ให้ใช้หลักอาวุโสร้อยละ 33 ของตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ จึงเป็นการตีความประโยค “...ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด” ในรัฐธรรมนูญมาตรา 260 วรรคสามแตกต่างไปจากผมและนักกฎหมายจำนวนไม่น้อย
ขั้นตอนที่สอง มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับที่ 20/2561 เรื่องมาตรการสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินให้มีความต่อเนื่อง ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 (ตามลิงก์ 3)
สารัตถะในข้อ 1 คือรับรองประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2563 ว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเป็นที่สุด
เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญ ขออนุญาตคัดเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องมานำเสนอ
“ข้อ 1 ให้การดําเนินการคัดเลือกหรือแต่งตั้งข้าราชการตํารวจของสํานักงานตํารวจแห่งชาติและผู้เก่ียวข้องตามกฎหมายว่าด้วยตํารวจแห่งชาติ กฎก.ตร.ว่าด้วยการแต่งต้ังข้าราชการตํารวจ พ.ศ. 2561 ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตํารวจ ตํามหลักอาวุโส ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 กฎระเบียบ คําสั่ง ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตํารวจ ที่ได้ดําเนินการมาตั้งแต่วาระการแต่งตั้งประจําปี พ.ศ. 2559 จนถึงวันท่ีกฎหมายว่าด้วยตํารวจแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ของข้าราชการตํารวจตามแนวทางการปฏิรูปตามมาตรา 258 ง. ด้านกระบวนการยุติธรรม (4) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมีผลใช้บังคับ เป็นการดําเนินการจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ และให้ถือว่าการดําเนินการนั้นเป็นการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญและเป็นท่ีสุด”
เน้นอีกที
“.....ตั้งแต่....จนถึงวันที่กฎหมายว่าด้วยตํารวจแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ของข้าราชการตํารวจตามแนวทางการปฏิรูปตามมาตรา 258 ง. ด้านกระบวนการยุติธรรม (4) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมีผลใช้บังคับ เป็นการดําเนินการจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ และให้ถือว่าการดําเนินการนั้นเป็นการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด”
จบเลยครับ
ไม่มี “บทเร่งรัดกึ่งลงโทษ” สำหรับการปฏิรูปตำรวจตามรัฐธรรมนูญอีกต่อไป !
ไม่มีรัฐธรรมนูญ “มาตรา 260 วรรคสาม” อีกต่อไป แม้ในทางลายลักษณ์อักษรจะยังอยู่ ยังอ่านพบ แต่ไร้ผลในทางปฏิบัติเสียแล้ว !!
การยกร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่เฉพาะภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ผ่านคณะกรรมการมาแล้ว 3 ชุดภายในระยะเวลา 3 ปีแต่ยังเดินทางไม่ถึงรัฐสภาเลย จะเสร็จเมื่อไรก็ได้ หรือไม่เสร็จเลยก็ยังได้ การไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนเวลาบังคับในรัฐธรรมนูญไม่มีผลใด ๆ ต่อการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ เพราะยังคงใช้ระบบแบ่งกองเดิม ๆ คือใช้หลักอาวุโสร้อยละ 33 ของตำแหน่งที่ว่างเหมือนที่เคยถือปฏิบัติมาต่อไปเรื่อย ๆ ในอนาคตที่ไม่กำหนดเงื่อนเวลาบังคับไว้
บทเร่งรัดกึ่งลงโทษที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญบรรจงบัญญัติไว้ในมาตรา 260 วรรคสามจุดประกายความหวังให้พี่น้องประชาชนและข้าราชการตำรวจมีอันไร้ผลมา 2 ปีแล้ว
นอกจากนั้น ยังมีปรากฎการณ์ทางรัฐศาสตร์ให้อภิปรายกันในทางวิชาการอีก
นั่นคือการที่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีผลเสมือนเป็นการแก้รัฐธรรมนูญในทางปฏิบัติ !
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี